อันที่จริงเซี่ยหร่านไม่เคยคิดว่าตนเองจะได้มีโอกาสเข้ารับราชการ ทั้งยังได้รับตำแหน่งสูงถึงขั้นนี้ แต่เขาเป็นคนหน้าบาง คราวที่แล้วที่ช่วยเซี่ยซูจัดงานเลี้ยงยังบอกได้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อน คราวนี้จะไปขอบคุณหรือบอกปัดล้วนแต่ต้องไปทำต่อหน้า
เซี่ยซูกำลังอยู่ในห้องหนังสือ นางคิดหาทางจะจับผิดเพื่อเล่นงานองค์ชายเก้าให้ได้ เห็นเซี่ยหร่านโผล่มาก็ไม่แปลกใจสักนิด “ที่จริงเจ้าไม่ต้องมาพบข้าก็ได้ เข้าไปรับตำแหน่งก็พอแล้ว ข้าก็ไม่ได้จะให้เจ้าทำอยู่นานนักหรอก หากเกิดเรื่องเช่นคราวที่แล้วขึ้นมาอีก ชั่วชีวิตนี้เจ้าก็จงเป็นคุณชายหร่านอยู่ในบ้านนี้ ไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันเถอะ”
เซี่ยหร่านพูดอย่างขุ่นเคือง “ท่านต้องเสียทีคนอื่นสักหนหนึ่งก่อนใช่หรือไม่จึงจะเข้าใจความทุกข์ใจของทุ่ยจี๋!”
เซี่ยซูเงยหน้าขึ้นมองเขา “ข้าเข้าใจความหมายของเจ้าดี แต่ก็อย่างที่ข้าว่า ในเมื่อเจ้าคิดจะติดตามข้า ก็ต้องเชื่อฟังกัน”
เซี่ยหร่านทำเสียงหึไม่พอใจ “เช่นนั้นก็ขอบคุณท่านที่ช่วยสนับสนุน”
“ขอเพียงเจ้าดึงรัชทายาทจากแดนแห่งเซียนกลับโลกมนุษย์ได้ก็ถือเป็นการขอบคุณข้าแล้ว”
เซี่ยหร่านสะบัดชายแขนเสื้อแล้วออกไป
ตำแหน่งผู้ติดตามองค์รัชทายาทเดิมทีเป็นของคุณชายเผยอวิ่นจากสกุลเผย เซี่ยซูกลับเอาตำแหน่งของเขาไปมอบให้เซี่ยหร่าน เรื่องนี้ทำเขาโกรธจนยั้งตนเองไว้ไม่อยู่ วันนั้นตอนที่เซี่ยซูออกจากวังเขาถึงขั้นแอบปีนขึ้นไปบนรถม้าของจวนอัครเสนาบดี
“ท่านอัครเสนาบดี ข้าน้อยทำผิดอะไร เหตุใดท่านจึงทำกับข้าน้อยเช่นนี้”
เซี่ยซูไม่คิดว่าเผยอวิ่นจะกล้าทำเช่นนี้ นางย่อมไม่อาจไล่เขาลงจากรถ ทำได้เพียงตีหน้าขรึมทำทีว่าไม่พอใจ หวังว่าเขาจะเข้าใจได้เอง
เผยอวิ่นกัดริมฝีปากล่างพลางจ้องมองเซี่ยซู จู่ๆ น้ำเสียงก็อ่อนลง “ท่านถอนคำสั่งกลับคืนเสียเถอะ ขอเพียงไม่ชิงตำแหน่งของข้าน้อยไป ข้าน้อยจะ…จะยอมเป็นแขกหลังม่านให้ท่าน!”
“เอ๊ะ?” เซี่ยซูคิดว่าตนเองหูฝาด
มู่ไป๋ที่อยู่นอกรถตกใจจนกลิ้งตกจากรถไปแล้ว
อันที่จริงเผยอวิ่นก็เป็นชายรูปงามผู้หนึ่ง เพียงแต่ใบหน้าขาวซีดไปสักหน่อย ทำให้ดูเหมือนคนป่วย
เซี่ยซูพอจะเข้าใจคนผู้นี้อยู่บ้าง เพราะก่อนหน้านี้บรรดาขุนนางที่ส่งสายตาประจบประแจงมาให้นางก็มีเผยอวิ่นรวมอยู่ด้วย เขาก็ถือเป็นหนุ่มเจ้าสำราญขึ้นชื่อเช่นกัน โดดเด่นมีชื่อเสียงในด้านความใจกล้ามากเป็นพิเศษ หากมิใช่เพราะรัชทายาทเป็นคนมีเมตตามาก จากพฤติกรรมของเขาแล้วย่อมไม่มีทางได้เป็นผู้ติดตามของรัชทายาทแน่
“ท่านไม่พูด ข้าน้อยก็ถือว่าท่านตอบรับแล้ว” เผยอวิ่นกระเถิบเข้าไปใกล้ ยื่นมือไปจะเปลื้องเสื้อของเซี่ยซู
“อย่าเชียวนะ! นี่อยู่ในรถนะ!” เซี่ยซูรีบผงะถอย นางใช้พัดกันมือเขาเอาไว้
มู่ไป๋ที่อยู่ข้างนอกร้องขึ้นอย่างตกใจ “อู่หลิงอ๋อง! เอ่อ…”
ม่านรถถูกเลิกขึ้น เมื่อเห็นสภาพของคนในรถอย่างชัดเจนแล้ว สีหน้าเว่ยอี้จือก็บอกชัดว่าตกใจยิ่ง
มือข้างหนึ่งของเผยอวิ่นวางบนบ่าเซี่ยซู มืออีกข้างยื่นไปแตะที่คอเสื้อด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ
ทั้งสามต่างชะงักกึก จู่ๆ เว่ยอี้จือก็หัวเราะ “เรียกท่านอัครเสนาบดีอยู่หลายคำก็ไม่เห็นขานรับ ที่แท้ก็ทำ ‘เรื่องสำคัญ’ อยู่นี่เอง”
เซี่ยซูจัดแต่งเสื้อผ้าด้วยสีหน้าไม่ยี่หระ “อู่หลิงอ๋องมีธุระใดกัน”
“ตอนนี้ไม่มีแล้ว” เว่ยอี้จือปล่อยม่านลงพลางก้าวอาดๆ จากไป
เผยอวิ่นมองดูเซี่ยซู ก่อนจะเอ่ยวาจาตัดพ้อ “ท่านกลัวจะมีคนมาเห็นหรือ”
เซี่ยซูข่มความโกรธแล้วเอ่ยว่า “ใต้เท้าเผย เชิญกลับไปเสียเถอะ”
เผยอวิ่นอุตส่าห์วาดฝันไว้นานแล้วแต่กลับทำไม่สำเร็จเช่นนี้ ก็ให้หงุดหงิดเสียใจยิ่ง
อัครเสนาบดีต้องปรารถนาเช่นเดียวกันแน่ เพียงแต่เขาใจร้อนไปสักหน่อย เฮ้อ หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ น่าจะไปที่จวนอัครเสนาบดีแล้วค่อยลงมือ! น่าเสียดายนัก!
เผยอวิ่นลงจากรถแล้ว รถม้าของเว่ยอี้จือก็เพิ่งแล่นออกไปได้ไม่นาน
เซี่ยซูรู้สึกว่าการที่เว่ยอี้จือมาหานางเช่นนี้จะต้องมีเรื่องสำคัญคุยด้วยเป็นแน่ นางจึงสั่งให้มู่ไป๋บังคับรถม้าตามไป
แต่เว่ยอี้จือไม่ได้หยุดรถหรือคิดจะรอเซี่ยซูสักนิด มู่ไป๋บังคับรถตามไปพลางร้องเรียก รถม้าของเขาก็ยังแล่นฉิวไปตามเดิม
“คุณชาย ช่างเถอะขอรับ อู่หลิงอ๋องคงไม่ค่อยได้พบเห็นเรื่องทำนองนี้มากนัก” มู่ไป๋เอามือจับหน้าอกที่ยังเต้นตุบๆ ด้วยความตื่นเต้น เขาฝืนทำเป็นว่าสงบใจได้
เซี่ยซูใช้พัดปิดหน้า นางถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “คราวนี้ข้าขายหน้าหมดแล้วจริงๆ”
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็ม)