เซี่ยซูปิดหนังสือแล้วยิ้มออกมา “ใช่สินะ เจ้าคงยังไม่รู้ จะว่าอย่างไรดีเล่า ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับข้าคงจะเรียกว่า ‘ล่อหลอกให้ตายใจ แล้วแอบบุกเข้ายึดเมืองเฉินชัง’ กระมัง”
เซี่ยหร่านขมวดคิ้วน้อยๆ “แม้อู่หลิงอ๋องจะเคยเป็นแม่ทัพ ทว่าตัวเขาก็รอบรู้กลยุทธ์ไม่แพ้ขุนนางบุ๋นเลยทีเดียว ท่านอยู่กับเขาต้องคอยระวังตัวให้มากจึงจะถูก”
เซี่ยซูลูบท้ายทอยแล้วพึมพำว่า “ก็ต้องระวังน่ะสิ”
นางลอบมองเซี่ยหร่านที่อยู่ตรงหน้า เขาอายุไล่เลี่ยกับนาง ดูจะผอมไปสักหน่อยสำหรับบุรุษ และยังดูสุภาพอ่อนโยนด้วย ถึงอย่างนั้นก็ยังมองเห็นลูกกระเดือกอันโดดเด่นได้ชัดเจนมาก
เซี่ยหร่านเห็นเซี่ยซูเอาแต่จ้องมองตนเอง ก็คิดไปว่าตัวเขาแต่งกายผิดแปลกไปหรืออย่างไร จึงมองสำรวจตนเองขึ้นๆ ลงๆ อยู่หลายรอบ กระทั่งจับสังเกตได้ว่าสายตาเซี่ยซูคอยแต่จับจ้องที่คอเสื้อเขาซึ่งเผยอออกเพียงเล็กน้อย ฉับพลันก็อดจะตกตะลึงไม่ได้ ใบหน้าเขาร้อนฉ่า สุดท้ายจึงไม่รั้งรออยู่นาน รีบลุกขึ้นแล้วกล่าวลาออกไป
เซี่ยซูกลับไปนั่งที่หน้าคันฉ่องทองเหลืองอีกครั้ง นางหยิบลูกกระเดือกปลอมขึ้นมาลองติดดูสองสามครั้งก็รู้สึกว่าขัดตาเหลือเกิน นางมองใบหน้าตนเองในคันฉ่อง ผ่านไปพักใหญ่ ทันใดนั้นก็ตัดสินใจเด็ดขาด หยิบลูกกระเดือกปลอมขึ้นมา แล้วโยนลงกระถางไฟเผาจนมอดไหม้
ด้วยสติปัญญาระดับเว่ยอี้จือแล้ว ยิ่งพยายามปกปิดจะยิ่งส่งผลในทางตรงกันข้าม ชาวต้าจิ้นแต่เดิมก็นิยมชมชอบสิ่งสวยงามอยู่แล้ว นางไม่จำเป็นต้องปิดบังเขาเสียหน่อย
วันถัดมา เว่ยอี้จือตื่นแต่เช้า เขาไม่ได้พาผู้ติดตามคนอื่นมาด้วย เพียงเรียกฝูเสวียนมาบังคับรถ เขาสวมใส่ชุดสีขาวที่แสนจะธรรมดาสามัญ จอดรถม้าที่ประตูข้างของจวนอัครเสนาบดีแล้วรอ
ไม่นานเซี่ยซูก็ออกมา แม้แต่มู่ไป๋ก็ไม่ได้พาไปด้วย นางสวมชุดสามัญชุดเดียวกับคราวที่ได้พบกับเว่ยอี้จือวันแรก ดิ้นทองที่เขาปักไว้ตรงชายเสื้อดูโดดเด่นสะดุดตา ยิ่งขับเน้นให้นางดูงามสง่ามากขึ้น
นางเข้าไปนั่งในรถ หันไปยิ้มให้เว่ยอี้จือ “ข้าไม่คุ้นกับสถานที่กินดื่มเที่ยวเล่นหาความสำราญในเมืองเจี้ยนคังเท่าไร วันนี้ได้แต่ขอติดตามเจ้าไป อย่าทำข้าหลงหายไปก็แล้วกัน”
“วางใจเถอะ” เว่ยอี้จือยิ้มแย้ม สายตาจับจ้องที่คอเสื้อนาง วันนี้นางยังคงสวมเสื้อตัวกลางเช่นเคย แต่ไม่ได้สวมเสื้อที่คอปกตั้ง เพียงมองแวบเดียวก็เห็นลำคอเรียวระหงเกลี้ยงเกลาทั้งหมด
เขาถอนสายตากลับมา ไม่ทราบว่าเหตุใดจึงรู้สึกเสียดาย
ตอนนั้นเขายังเด็ก นั่งในรถม้าที่เคลื่อนไปตามท้องถนน ผู้คนพากันร้องชม หยวนชิ่งซึ่งเป็นสมุหกลาโหมคนก่อนบอกว่าเขานั้น ‘หากเป็นหญิงคงงามล่มเมือง’ เขาค่อยๆ เติบใหญ่ขึ้น สั่งสมความองอาจห้าวหาญ แม้จะได้รับคำชมเรื่องรูปโฉม ทว่าก็ไม่ได้รับคำชมเช่นว่าเป็นหญิงงามล่มเมืองอีก ทว่าบัดนี้เขากลับอยากจะใช้คำนี้กับเซี่ยซู
เซี่ยซู เหตุใดจึงต้องมีร่างกายเป็นบุรุษด้วย…
รถม้ามุ่งไปยังเขตฉางกั้น ตามท้องถนนเสียงผู้คนจ้อกแจ้กจอแจ สามารถสัมผัสกลิ่นอายของต้นคิมหันตฤดูได้ เซี่ยซูสูดกลิ่นหอมเหล่านี้อย่างหลงใหล เทียบกับตรอกอูอีอันกว้างขวางและลึกเร้นของเหล่าชนชั้นสูงแล้ว นางยังชมชอบที่นี่มากกว่าเสียอีก
รถม้าหยุดลงที่ข้างตรอกแคบแห่งหนึ่ง ไม่มีเสียงอึกทึกวุ่นวาย เพียงสูดดมก็ได้กลิ่นสุราดี เว่ยอี้จือลงจากรถ แล้วหันมายิ้มให้เซี่ยซูที่ด้านหลัง “กลิ่นไม่เปลี่ยนไปเลย”
เซี่ยซูเห็นเขาท่าทางเหมือนเป็นแขกประจำของร้านก็อดรู้สึกสนใจขึ้นมาไม่ได้ “วันนี้ข้าอยากลองลิ้มรสดู ว่าสุราดีเช่นไรจึงทำให้เจ้าหวนคะนึงจนไม่อาจลืมเลือนได้ถึงเพียงนี้”