เซี่ยซูออกจากวังมาก็ได้พบกับหวังลั่วซิ่วเข้าพอดี
นางพำนักที่ตำหนักในเป็นเพื่อนไทเฮามาได้หลายวันแล้ว เซียงฮูหยินทนรอต่อไปไม่ไหว วันนี้จึงเข้ามารับตัวนางที่วังโซ่วอันด้วยตนเอง
“คารวะท่านอัครเสนาบดี” หวังลั่วซิ่วคำนับพร้อมเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม
เซียงฮูหยินก็คำนับด้วย ทว่ารอยยิ้มนั้นดูเสแสร้งไม่น้อย
เซี่ยซูนึกขยาดเซียงฮูหยินอยู่แต่เดิม ทว่ากลับรู้สึกดีกับหวังลั่วซิ่ว นางจึงเดินเข้าไปพูดคุยกับทั้งสองสักสองสามประโยค
เซียงฮูหยินคิดแต่จะพาตัวว่าที่ลูกสะใภ้ออกห่างจากเซี่ยซูสักหน่อย จึงทำท่าจะกล่าวลาทันที หวังลั่วซิ่วกลับมีท่าทีอาลัยอาวรณ์ เอ่ยถามเซี่ยซูว่า “ลั่วซิ่วปากมาก บังอาจถามท่านว่าเรื่องเหตุอันตรายที่ท่านประสบมา ที่ไคว่จีสอบสวนได้ผลเป็นเช่นไรบ้าง”
เซี่ยซูจึงเอ่ยว่า “ฝ่าบาทได้ตัดสินพระทัยแล้ว”
หวังลั่วซิ่วเป็นคนคิดอ่านอย่างถี่ถ้วน เห็นเซี่ยซูพูดจาอ่อนโยนเช่นนี้ก็สบายใจ แต่กลัวว่าเซียงฮูหยินจะฟังออกว่านางรู้สึกหวั่นไหวต่ออัครเสนาบดี นางจึงรีบพูดเสริมว่า “นั่นดีมากทีเดียว มิเช่นนั้นพี่ชายข้าคงจะกินไม่ได้นอนไม่หลับ”
เดิมทีเซี่ยซูคิดจะพูดปลอบหวังลั่วซิ่วสักสองสามประโยค ทว่าพอเหลือบไปเห็นเซียงฮูหยินมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นทุกที นางจึงหาข้ออ้างแล้วปลีกตัวออกไป
เซียงฮูหยินขึ้นไปบนรถแล้วถามหวังลั่วซิ่ว “เมื่อครู่ข้าได้ยินเจ้าบอกว่าท่านอัครเสนาบดีประสบอันตรายที่ไคว่จีมาหรือ”
หวังลั่วซิ่วพยักหน้า “มีเรื่องเช่นนี้จริง ดูเหมือนจะมีคนเลวสมคบคิดกัน หวังจะปองร้ายท่านอัครเสนาบดี”
เซียงฮูหยินตบเข่าทีหนึ่งพลางเอ่ยด้วยความหงุดหงิด “เหตุใดจึงทำไม่สำเร็จกันนะ เฮ้อ!”
“…” หวังลั่วซิ่วมองอึ้งๆ
พอเว่ยอี้จือทราบว่าหวังลั่วซิ่วกลับมาที่จวนต้าซือหม่าแล้ว เขาก็สั่งให้ฝูเสวียนส่งของมาให้ ทว่าตัวเขากลับไม่ยอมโผล่หน้าออกมา
เซียงฮูหยินเป็นคนเก่งคนหนึ่ง นางเคยผ่านช่วงวัยที่ผลิบานดุจดอกไม้แรกแย้มมาแล้ว สายตาที่หวังลั่วซิ่วมองเซี่ยซูเห็นได้ชัดว่าบ่งบอกถึงอันตราย ทว่าบุตรชายของนางกลับยังไม่ยินยอมพร้อมใจ นางย่อมจะต้องไปเตือนเขาเสียหน่อย
เว่ยอี้จือกำลังฝึกกระบี่อยู่ที่ลานบ้าน เขากำหนดลมหายใจพลางตั้งสมาธิ ขณะที่วาดกระบี่ก็มีเสียงดังหวือๆ ขณะเดียวกันเซียงฮูหยินก็เอาแต่ทอดถอนใจอยู่ข้างๆ กระทั่งเขาเสียสมาธิเพราะเสียงนางบ่นพึมพำ ในที่สุดก็จำต้องหยุดฝึกกระบี่แต่โดยดี
“ท่านแม่มีอะไรจะพูดหรือ”
“บุตรชายข้านั้นทั้งเก่งกาจทั้งรูปงาม แต่บัดนี้กลับไม่มีเหย้าเรือนเสียที แม่ล่ะร้อนใจยิ่งนัก”
เว่ยอี้จือยิ้ม “ท่านแม่ร้อนใจมาหลายปีแล้วก็ยังสบายดีอยู่มิใช่หรือ”
เซียงฮูหยินถลึงตาใส่ “เจ้าหมายความว่าอะไร อยากให้แม่กินไม่ได้นอนไม่หลับใช่หรือไม่”
เว่ยอี้จือจนปัญญา “เช่นนั้นท่านแม่จะให้ข้าทำอะไร สกุลหวังสูงส่งออกปานนั้น หากฝ่าบาททรงไม่อนุญาต ข้าจะกล้าไปเกี่ยวดองด้วยได้อย่างไร”
เซียงฮูหยินกัดฟันเอ่ยว่า “พรุ่งนี้แม่จะไปทูลขอร้องกับไทเฮา!”
“แม้ไทเฮาจะใช้แซ่เว่ย แต่ที่สุดแล้วพระนางก็ทรงเป็นคนของซือหม่าไปแล้ว”
เซียงฮูหยินทนไม่ไหวอีกแล้ว “หากเจ้ายังไม่คิดหาทางอีก ลูกสะใภ้จะต้องถูกไอ้สารเลวสกุลเซี่ยฉกไปแน่!”