เว่ยอี้จือตะลึงงัน “ไอ้สารเลวสกุลเซี่ยที่ท่านแม่ว่าหมายถึงคนใดกัน”
“ยังจะมีใครอีกเล่า ก็เซี่ยซูนั่นอย่างไร!”
เว่ยอี้จือก็รู้สึกได้ว่าหวังลั่วซิ่วคิดอะไรกับเซี่ยซู ทว่าตลอดมานั้นเขาไม่เคยสนใจเรื่องความรักของหนุ่มสาวมาก่อน จึงไม่แน่ใจว่าความรู้สึกของตนเองนั้นถูกต้อง ย่อมคิดไม่ถึงว่าแม้แต่มารดาก็ยังพูดเช่นนี้
“เช่นนั้นก็คอยดูว่าเซี่ยซูจะว่าอย่างไร…ดีหรือไม่ ให้ฝ่าบาททรงเป็นผู้เลือก ข้าคาดเดาว่าพระองค์จะทรงยินยอมให้สกุลหวังกับสกุลเว่ยได้เกี่ยวดองกัน”
อันที่จริงพระราชอำนาจของฮ่องเต้ในยามนี้ล้วนถูกกดข่มโดยตระกูลใหญ่ที่มีอำนาจแล้ว ต่อให้เว่ยอี้จือตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวว่าจะเกี่ยวดองกับสกุลหวังให้ได้ หรือจะเกี่ยวดองกับตระกูลใหญ่อื่นๆ ก็ล้วนเป็นเรื่องที่กระทำได้ทั้งสิ้น ยามนี้เขาเพียงแค่ยืมมือฮ่องเต้มาบอกปัดมารดาเท่านั้น ซึ่งเรื่องเหล่านี้เซียงฮูหยินคงไม่เข้าใจ และเขาก็ไม่อยากให้นางเข้าใจด้วย
ถูกบ่นเรื่องหลานทุกวันก็ยังดีกว่าเอาตัวเข้าไปพัวพันกับความขัดแย้งระหว่างตระกูลทั้งหลาย
เว่ยอี้จือหยิบผ้ามาเช็ดกระบี่ แอบครุ่นคิดในใจว่า หญิงสาวเช่นไรที่ต้องใจเซี่ยซู…
เพียงไม่นาน หวังจิ้งจือก็นำตัวลู่ซีฮ่วนกับกู้ฉ่างมาส่งถึงเมืองเจี้ยนคังด้วยตนเอง
คนที่สนใจเรื่องราวการเมืองก็ล้วนให้ความสนใจไปที่เรื่องการก่อกบฏของทั้งสอง ส่วนคนที่ไม่สนใจการเมืองก็หันไปสนใจบุรุษผู้ได้ชื่อว่าเป็นบุคคลเจ้าสำราญแห่งยุค
กวงลู่ต้าฟูหวังมู่จัดงานเลี้ยงต้อนรับทั้งทีย่อมต้องมีต้าซือหม่าผู้มีพระคุณที่คอยดูแลหวังลั่วซิ่วรวมอยู่ในรายชื่อแขกด้วย หวังจิ้งจือก็มองว่าเซี่ยซูต้องมาประสบเหตุการณ์อันตรายที่ไคว่จี ตนเองถือว่ามีความผิด จึงตั้งใจจะเชื้อเชิญเซี่ยซูมาร่วมงานเลี้ยงต้อนรับนี้ด้วยให้ได้
หวังมู่จึงจัดงานเลี้ยงขึ้นที่ศาลาในจวนอย่างรื่นเริง ค่ำคืนต้นคิมหันตฤดู สายลมพัดเย็นสบาย ศาลาพักร้อนตั้งอยู่ริมน้ำ ผิวน้ำสะท้อนแสงดาวบนฟ้าและแสงคบไฟที่ลุกโชติช่วงโดยรอบ แทบจะแยกไม่ออกระหว่างความจริงกับภาพฝัน
เซี่ยซูร้องชมจากใจ “งดงามนัก”
หวังมู่ยืดหลังตรงอย่างอดจะลำพองใจไม่ได้
หวังจิ้งจือนั่งอยู่ตรงข้ามเซี่ยซู เขายกจอกสุราขึ้นดื่มอวยพรอีกฝ่ายจากหลังโต๊ะ หัวเราะร่าแล้วเอ่ยว่า “ไม่เพียงทัศนียภาพงดงาม แม้แต่คนก็งาม ข้าพานักขับร้องหญิงรูปงามหลายคนมาจากไคว่จีให้ท่านได้เชยชมด้วย”
เซี่ยซูรู้ว่าระหว่างลูกหลานบ้านชนชั้นสูงมีเรื่องจำพวกแบ่งปันกันเชยชมนักขับร้องหญิงและอนุภรรยาระหว่างกัน เรียกว่าเป็นความเจ้าสำราญที่ไม่ยึดติด นางจึงไม่ค่อยเข้าใจว่าที่หวังจิ้งจือให้นาง ‘เชยชม’ นักขับร้องหญิงของเขานั้น คือการเชยชมเสียงร้อง หรือว่าเชยชมรูปร่างหน้าตากันแน่
หวังจิ้งจือปรบมือให้สัญญาณ สาวงามหลายคนก็เดินออกมาอย่างว่องไว ข้างหลังมีนักดนตรีหอบเอาเครื่องดนตรีมาด้วยอีกหลายคน ทุกคนหันไปทำความเคารพแขกที่นั่งอยู่ก่อนจะนั่งลง แล้วเริ่มบรรเลงดนตรีและขับร้องบทเพลง