บทนำ
ผนังหินรอบบ่อน้ำบ่อหนึ่งมีตะไคร่น้ำสีเขียวเข้มเกาะอยู่ ตะเกียงน้ำมันบนผนังหินนั้นส่องแสงสีเหลืองหม่น แสงเรื่อเรืองที่ดูเยือกเย็นไม่กี่ดวงส่องลงไปใจกลางผืนน้ำ บางช่วงก็ตกกระทบลงบนโซ่เหล็กสีน้ำตาลดำ
ไม่รู้ว่าสายลมระลอกหนึ่งพัดเข้ามาจากที่ใด ตะเกียงบนผนังจึงแกว่งไกวไปมา แสงสีเหลืองหม่นพลันส่องกระทบใบหน้าบุรุษหนุ่มรูปงามที่ขาวซีด ผมสีดำสยายออก นัยน์ตาปิดสนิท ริมฝีปากเป็นสีแดงคล้ำ ผสมผสานออกมากลายเป็นภาพวาดที่กลมกลืนด้วยสีของน้ำหมึกและสีชาด หากไม่ใช่เพราะเขากัดริมฝีปากจนมีหยดเลือดไหลออกมาจนเห็นได้ชัดสะดุดตาล่ะก็ คงไม่อาจสัมผัสได้ถึงความอดกลั้นและเคียดแค้นของคนผู้นี้เป็นแน่
ชุดผ้าต่วนสีเขียวเข้มลายเมฆชุ่มน้ำจนแนบติดไปกับเรือนร่างของบุรุษหนุ่ม ความสง่างามที่มีอยู่เดิมถูกทำลายไปเกือบหมดสิ้น เหลือไว้เพียงอัญมณีในโคลนตมที่ประกายแสงหม่นหมองดูไร้ค่า ชายเสื้อที่แช่อยู่ในน้ำยังคงเห็นรอยคราบเลือดที่ใกล้จางหายได้อยู่ บ่งบอกว่าชุดผ้าต่วนนี้เคยเปื้อนเลือดมาก่อน
ตะเกียงน้ำมันแกว่งไกวอีกครั้ง ไม่อาจมองเห็นรูปโฉมของเขาได้อีก ความมืดกลับมาเยือนอีกครั้ง บุรุษหนุ่มเผยอเปลือกตาขึ้นช้าๆ นัยน์ตาประดุจอำพันที่เก็บสะสมมานับร้อยปี ความอาฆาตแค้นจับตัวฝังแน่นอยู่ใจกลางอำพันนั้น
ร่างกายเขาถูกกักขังทรมานอยู่ในคุกน้ำโดยไม่รู้วันคืนผ่านไปเท่าไรแล้ว ผืนน้ำดำมืดไม่เห็นแสงตะวัน เขาทำได้เพียงลิ้มรสความทรงจำที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงได้ยังฝืนทนต่อลมหายใจมาได้
สกุลไป๋เป็นตระกูลหมอมีชื่ออยู่ในเมืองก่วงหลิง สร้างหมอเทวดาจนมีชื่อเสียงขจรขจายร้อยปีไม่เสื่อมถอย เขาก็คือคุณชายน้อยสกุลไป๋ รอบรู้สมุนไพรนับร้อยชนิดมาแต่เยาว์วัย แตกฉานในตำราแพทย์โบราณ ท่องได้ทั้งขึ้นหน้าและย้อนหลัง อีกทั้งบุคลิกงดงาม เป็นคนโอบอ้อมอารี ชื่อเสียงของเขาดูเหมือนจะเหนือกว่าเจ้าบ้านของสกุลไป๋เสียอีก
เพียงอายุสิบสามย่างสิบสี่เขาก็มีท่วงท่าเฉกเช่นบุรุษชั้นสูงแล้ว เขาเดินทางกับคนรับใช้อีกคนหนึ่งไปออกงานชุมนุมใหญ่ทางการแพทย์ที่เจียงหนาน แล้วใช้หลักคำสอนทางการแพทย์ของสกุลไป๋ถกกับหมอมีชื่อของเจียงหนานจนสร้างชื่อในคราวเดียว
ในช่วงเวลาที่คุณชายน้อยกำลังมีจิตใจฮึกเหิมอยู่นั้น กลับมิได้ล่วงรู้เลยว่าสกุลไป๋มีเคราะห์ร้ายมาเยือน
นายบ่าวสองคนนำพาชื่อเสียงกลับมา ทว่ากลับไม่ได้รับการต้อนรับใหญ่โตอย่างที่คาดเอาไว้ ประตูเรือนที่ปิดแน่นกันให้คุณชายน้อยต้องอยู่นอกเรือน เหลียนเซิงคนรับใช้เคาะประตูอยู่นานก็ไม่เห็นคนมาเปิดประตูให้เสียที คุณชายน้อยพลันรู้สึกไม่สบายใจ ทั้งสองช่วยกันผลักประตูหน้าออก เมื่อประตูเปิดออกแล้ว คุณชายน้อยก็รีบพุ่งไปยังตัวเรือนอย่างอดรนทนไม่ไหว
ภายใต้แสงแดดแรงกล้าหลังยามเที่ยง ทั่วทั้งเรือนกลับเงียบสงัดยิ่ง แสงแดดคลี่คลุมคฤหาสน์ทั้งหลังที่ไร้กลิ่นอายชีวิต ไร้เงาผู้คนตลอดทาง ยามผ่านสวนหย่อม คุณชายน้อยที่ก้าวเท้าอย่างรีบเร่งก็สะดุดเข้ากับบางสิ่งเข้า ขณะที่ซวนเซอยู่นั้นเขาก็ก้มหน้าลงมอง ข้างกอดอกจิ่นขุย มีแขนเสื้อท่อนหนึ่งโผล่ออกมา
หลังจากคุณชายน้อยแหวกกอดอกไม้ออกก็เห็นศิษย์พี่ใหญ่นอนทับกอดอกจิ่นขุยที่เขารดน้ำด้วยมือตนเอง เขาในตอนนี้ดูมิต่างจากคนที่กำลังนอนหลับเลย ทว่าแต่ไรมาศิษย์พี่ใหญ่มิใช่คนชอบนอนกลางวัน เขาเป็นคนที่ขยันขันแข็ง มุ่งมั่นสืบทอดวิชาแพทย์ของสกุลไป๋เพื่อเป็นหมอรุ่นต่อมา ทว่ายามนี้เขากลับมีใบหน้าเผือดซีด มุมปากมีเลือดไหลสายหนึ่ง หลับใหลไปตลอดกาล ไม่ว่าคุณชายน้อยใช้คำพูดเย้าแหย่อย่างที่เคยใช้อยู่ทุกวันอย่างไรก็ไม่สามารถปลุกให้เขาตื่นขึ้นมาได้อีก
คุณชายน้อยนั่งทึ่มทื่ออยู่ข้างกอดอกจิ่นขุยที่กำลังเบ่งบาน กลีบดอกจิ่นขุยแลดูงามตากว่าปกติ
เหลียนเซิงรีบเข้ามาพยุงคุณชายน้อยลุกขึ้นด้วยมือที่สั่นเทา ใบหน้าของเหลียนเซิงขาวซีดมาก เขาสัมผัสได้ว่าที่นี่มีกลิ่นอายหนึ่งปกคลุมไปทั่ว นั่นก็คือกลิ่นอายของ ‘ความตาย’ คฤหาสน์ทั้งหลังได้ตกอยู่ภายใต้เงาทะมึนนั้นแล้ว แม้แต่แสงแดดแผดจ้าก็ไม่อาจสลายความหม่นหมองและเย็นเยือกภายในเรือนได้
สุดท้ายทั้งสองก็ผลักประตูห้องโถงออก แสงแดดส่องตามเข้ามา ภาพเงาร่างของเจ้าบ้านสกุลไป๋ทั้งสองที่แขวนคอตายอยู่เบื้องหน้านี้จะสลักลึกลงในจิตใจของคุณชายน้อยจากนี้…ตลอดไป