ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน อาจารย์ข้าน่ารังแกที่สุด! บทนำ-บทที่ 1
ไป๋สิงเจี่ยนมือซ้ายถือหนังสือ มือขวาจับไม้เท้า เขาไม่ได้แต่งกายเฉกเช่นบัณฑิตทั่วไป แต่สวมชุดที่ใส่ทำงานที่หลันไถ ใช้ผ้าฝ้ายมัดผม เสื้อคลุมแขนสอบ เขาก้าวเดินอย่างเชื่องช้า จำเป็นต้องใช้ไม้เท้าที่มือขวาช่วยพยุงกายเอาไว้จึงจะเดินได้อย่างมั่นคง
เรื่องที่ขาของไป๋สิงเจี่ยนเคลื่อนไหวไม่สะดวกนั้นทุกคนต่างรับรู้ดี แต่นอกจากเขาเดินได้ช้าแล้ว คนผู้นี้ก็แทบดูไม่แตกต่างจากคนทั่วไป ตรงกันข้าม ต่อให้เขาจะใช้ไม้เท้าเยื้องย่างก็ยังมีหน้าตาและท่วงท่าที่สง่างามอยู่ดี ถึงกับมีคนไม่กลัวตายในเมืองหลวงกล้าขนานนามให้เขาว่า…ตระหง่านประดุจขุนเขาหยก
‘ขุนเขาลูกนี้’ ย่างเท้าเข้ามาที่โต๊ะอาจารย์ ก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้อย่างช้าๆ พลางพิงไม้เท้าไว้กับโต๊ะ แล้วเปิดตำรา สีหน้าเอาจริงเอาจังกวาดมองไปที่บรรดาผู้เรียน
ด้วยฐานะของฉืออิ๋งแล้ว นางจึงได้นั่งอยู่แถวหน้าสุด ในตอนนี้นางยินดีที่จะเป็นรุ่นที่สองของขุนนางตระกูลชั้นสูงของบ้านใดบ้านหนึ่งเสียดีกว่า จะได้ไปนั่งอยู่แถวหลังสุด หรือไม่ต้องเข้ามาเรียนในสำนักศึกษาเจาเหวินได้ยิ่งดี พอความคิดอยากหนีไปจากแถวหน้าสุดนี้ผุดขึ้นมา นางก็คิดอะไรออกทันที
อาศัยตอนที่ไป๋สิงเจี่ยนยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ฉืออิ๋งก็ลุกพรวดขึ้น “อาจารย์ ศิษย์มีโรคที่ตา มองใกล้ไม่ชัด อยากขอเปลี่ยนที่นั่งกับสหายที่อยู่แถวหลังสุด”
โดยไม่รอให้ไป๋สิงเจี่ยนอนุญาต และไม่รอให้สหายร่วมชั้นที่โชคร้ายตอบตกลง นางก็เดินไปถึงแถวสุดท้ายเพื่อยึดที่นั่งของผู้อื่น ท่ามกลางสายตาของทุกคนที่จ้องมองมา ผู้โชคร้ายก็มีสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ ยามเผชิญหน้ากับแรงกดดันอันหนักอึ้ง เขาก็ได้แต่ย้ายตนเองไปยังแถวหน้าสุด นั่งลงเบื้องหน้าไป๋สิงเจี่ยนด้วยร่างกายที่สั่นเทา
ไม่มีใครคาดคิดเรื่องการสลับที่นั่งในครั้งนี้ ทุกคนจึงล้วนเงียบเสียงกลั้นลมหายใจ พวกเขาเตรียมตัวเตรียมใจรอการสั่งสอนที่เข้มข้นประดุจตนเองเป็นปลาในคู อย่างไรอย่างนั้น อย่างไรเสียผู้ที่อยู่เบื้องหน้าของทุกคนก็ถูกหยิบยกไปกล่าวข่มขวัญเด็ก ถึงขั้นทำให้เด็กหยุดร้องไห้ในยามค่ำคืนได้เชียวนะ
กระนั้นพวกเขาก็ไม่นึกไม่ฝันว่าหัวหน้าสำนักหลันไถที่ในหมู่ผู้เรียนเรียกแทนเวลาคุยกันว่า ‘ใครผู้นั้น’ กลับทำเป็นไม่รับรู้ถึงการสลับที่นั่งในครั้งนี้
“วันนี้ที่จะเรียนกันคือรูปแบบการจัดวางการบันทึกประวัติศาสตร์” ไป๋สิงเจี่ยนนั่งพิงพนักเก้าอี้ สายตาค่อยๆ มองออกไปนอกโต๊ะ และเอ่ยประโยคที่ทำให้เหล่าผู้เรียนเหมือนตกอยู่ในห้วงฝันร้าย “ใครจะตอบคร่าวๆ ได้บ้าง”
เหล่าผู้เรียนต่างก้มหน้าก้มตาโดยไม่ได้นัดหมาย ยามนี้ไม่มีใครกล้าประสานสายตากับไป๋สิงเจี่ยนเลยสักคน เพราะนั่นเท่ากับว่าเขารนหาที่ตายเอง
คนโชคร้ายที่ก้มหน้าช้าไปสักหน่อยก็อยู่ในสายตาของผู้เป็นอาจารย์พอดี “คุณชายเมิ่ง ท่านลองพูดมา”
คุณชายบ้านเสนาบดีกรมกลาโหมเมิ่งกวงหย่วนรู้สึกว่าวันนี้เรื่องราวไม่เป็นอย่างใจสักเรื่อง โดยปกติแล้วเขาเป็นคนไม่ชอบอ่านหนังสือ เป็นบิดาที่ส่งเขามายังสำนักศึกษาเจาเหวินนี้ ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะยึดครองที่นั่งอันแสนวิเศษนั่นมาได้หลายเดือน แต่จู่ๆ กลับมาถูกองค์หญิงใช้กำลังยื้อแย่งไปเช่นนี้ ทั้งยังต้องกลายเป็นผู้เสียสละเพื่อช่วยเหลือสหายร่วมชั้นเสียอย่างนั้น
เมิ่งกวงหย่วนได้ยินเสียงถอนหายใจจากรอบข้างอย่างชัดเจน เขาเองก็ไม่กล้าผ่อนลมหายใจแรงนัก ยามตกอยู่ในความสนใจของไป๋สิงเจี่ยนเช่นนี้ เขาก็ไม่คิดหยัดยืนต่อ “เรียนอาจารย์ ศิษย์โง่เขลายิ่งนัก ไม่อาจตอบได้ขอรับ”
ไป๋สิงเจี่ยนไม่ได้ถือสาแต่อย่างใด “แล้วคุณชายเมิ่งคิดว่าผู้ใดสามารถตอบแทนได้”
เมิ่งกวงหย่วนทำหน้าเหลอหลา ก่อนจะกวาดตามองรอบด้านด้วยความลังเล ทว่าทุกที่ที่มองไป เหล่าสหายสนิทต่างก็ส่ายหน้าระรัว ในใจของเขาพลันพังทลาย กระนั้นก็มีสายตาคู่หนึ่งเปรียบดังไข่มุกสุกสกาวจากที่ไกลมองมา…
“องค์หญิงทรงตอบแทนศิษย์ได้ขอรับ!” เมิ่งกวงหย่วนคว้าเอากอหญ้าที่ลอยน้ำมาช่วยชีวิตไว้แน่น
เดิมที ‘กอหญ้า’ ที่ถูกคว้าเอาไว้นั้นกำลังลอยคว้างในอากาศ พอได้ยินคนเอ่ยชื่อของตนเอง ฉืออิ๋งก็ชะงักไปด้วยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมิ่งกวงหย่วนทวนคำถามของไป๋สิงเจี่ยนอีกรอบหนึ่งพลางส่งสายตาขอความช่วยเหลือมาให้
ฉืออิ๋งมองมาที่ไป๋สิงเจี่ยน นางพบว่าคนผู้นั้นไม่เคยมองตนเองตรงๆ เลยสักครั้ง คล้ายว่านางไร้ตัวตน นางเองก็ต่อต้านเขาประหนึ่งคู่แค้นเก่า คิดว่าเขารับรู้เรื่องที่นางถูกกักบริเวณดี ทั้งยังรู้ชัดว่าเขานั่นล่ะที่เป็นตัวการ แล้วตอนนี้ยังคิดฉวยโอกาสทำให้นางต้องมาตกหลุมพรางในห้องเรียนแห่งนี้อีก นางไม่มีวันยอมให้เขาสมหวังแน่!
“เรียบเรียงเป็นรายปี นำเสนอในเชิงประวัติของแต่ละคน นำเสนอแยกตามเหตุการณ์สำคัญ บันทึกแยกตามอาณาจักร ประวัติศาสตร์ทั่วไป ประวัติราชวงศ์” นางตอบคำถามรวดเดียวจบ ทั้งหมดนี้จำต้องยกความดีให้บิดาที่บังคับให้นางท่องจำบันทึกของคนสำคัญมาตั้งแต่สามขวบ บ่มเพาะให้นางกลายเป็นรัชทายาทที่เปี่ยมด้วยความรู้
สหายร่วมชั้นเรียนต่างคุ้นเคยกันนานแล้ว ตั้งแต่เล็กมาองค์หญิงผู้นี้ก็ถูกเหล่าผู้ปกครองนำมาใช้เรียกเป็นปกติว่า ‘เด็กน้อยบ้านคนอื่น’ ซึ่งถือเป็นศัตรูที่ยิ่งใหญ่ของพวกเขาตั้งแต่เยาว์วัย กระนั้นเมื่อเติบใหญ่ขึ้นมาพวกเขาก็คิดอยากถามบิดามารดากลับไปเช่นกัน เหตุใดจึงไม่พูดถึง ‘ผู้ปกครองบ้านคนอื่น’ บ้างเล่า ที่ฉืออิ๋งเก่งกาจถึงเพียงนี้ก็เป็นเพราะบิดาของนางบ่มเพาะมาเองกับมือ ในรัชศกนี้ เขาเป็นที่กล่าวขานว่าเป็นท่านชายจากตระกูลสูงศักดิ์ที่มีความรู้ไร้เทียมทาน สุดท้ายลูกไม้ก็ย่อมหล่นไม่ไกลต้น
แน่นอนว่าฉืออิ๋งมีความรู้ดี แล้วในเรื่องความประพฤติและคุณธรรมเล่า ชาวบ้านล้วนเรียกขานนางว่า ‘ดาวหายนะ’ เพียงดูจากความพยายามของนางที่จะโจมตีหลันไถก็ทำให้ทุกคนต่างเข้าใจได้
แน่นอนว่าคำตอบของฉืออิ๋งไม่มีอะไรผิด ถึงอย่างนั้นไป๋สิงเจี่ยนก็ไม่ได้เอ่ยชม แม้แต่การแสดงความเห็นเพิ่มเติมอะไรก็ไม่มี หลังผ่านพ้นการตอบคำถามนี้ไป ไป๋สิงเจี่ยนก็เริ่มต้นการสอนอย่างเป็นทางการ