เพราะเป็นพระธิดาคนโตของจักรพรรดินีและเฟิ่งจวิน ฉืออิ๋งจึงถูกตามใจมาแต่เด็ก นางราวกับฟูมฟักมาจากของวิเศษหายากอย่างไรอย่างนั้น ไม่เคยต้องพบเจอความยากลำบากจริงๆ ฉะนั้นเมื่อพบกับความเจ็บปวดเพียงเล็กน้อยก็ทนไม่ได้แล้ว หัวหน้าสำนักตรวจการจึงตกตะลึงเมื่อเผชิญกับท่าทีวางอำนาจขององค์หญิงในช่วงแรก และช่วงหลังที่น้ำตาไหลริน
“แค่พระบาทแพลงเท่านั้น ทรงทายาก็จะดีขึ้นพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าสำนักตรวจการรีบเอ่ยปลอบโยน
แค่?…เท่านั้น?!
ฉืออิ๋งที่กำลังเจ็บปวดอย่างที่สุดไม่มีทางยอมรับคำกล่าวนี้ได้แน่ น้ำตานางยิ่งพรั่งพรู เสียงร้องไห้พลันดังลั่น
หัวหน้าสำนักตรวจการถึงกับหมดหวัง หากคนอื่นๆ ได้ยินเข้าจะต้องคิดว่าเขาทำร้ายองค์หญิงเป็นแน่ ยิ่งกว่านั้นก็คือหลันไถอยู่ห่างออกไปเพียงแค่หนึ่งตรอกคั่นเท่านั้น หากพวกคนในหลันไถได้ยินเข้าล่ะก็ เขาจะมีเรื่องให้ต้องถูกบันทึก ด้วยวิธีเขียนแบบตำราชุนชิวที่ใช้อักษรเพียงไม่กี่ตัวแต่กินความมากของไป๋สิงเจี่ยนนั้นก็เพียงพอแล้ว…ฉี่ปองร้ายรัชทายาท และหนึ่งในนั้นก็มีชื่อเขาอยู่ด้วย…ฉี่มาจากหลูฉี่
หลูฉี่เห็นว่าตนเองไม่อาจเป็นหัวหน้าที่อยู่ในตำแหน่งนี้เป็นระยะเวลาที่สั้นที่สุดในประวัติของสำนักตรวจการได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องลงมือ…ปิดปากฉืออิ๋ง!
จู่ๆ เสียงร้องไห้ของฉืออิ๋งก็ถูกคนปิดปาก นางหายใจติดขัดจนใบหน้าแดงก่ำ
“หากทรงรับปากว่าจะไม่ร้อง ก็ให้องค์หญิงผงกพระพักตร์หนึ่งครั้ง!” หลูฉี่เอ่ยขอร้อง
ฉืออิ๋งไม่เคยต้อง ‘ยอม’ อะไรมาก่อน อย่างไรก็ไม่ยอมผงกศีรษะ
หลูฉี่สุดจะหมดปัญญาแล้ว
ชั่วเวลานี้ทางด้านหลังก็มีเสียงตื่นตระหนกดังขึ้น…
“ใต้เท้าหลู ต่อให้คิดแก้แค้นให้ใต้เท้าเหลียงก็ไม่ควรลงมือที่สำนักตรวจการเช่นนี้นะขอรับ”
ใต้เท้าเหลียงก็คืออดีตหัวหน้าสำนักตรวจการ
ไม่กลัวคู่ต่อสู้ระดับเทพแต่กลัวลูกน้องโง่งมภายในกลุ่ม หลูฉี่ถูกลูกน้องคนนี้ยัดเยียดข้อกล่าวหาให้จนได้ เขาจึงได้แต่คลายมือออกอย่างจนใจ
ฉืออิ๋งฉวยโอกาสนี้กัดเข้าที่มือของเขาอย่างดุดัน
“คนสารเลว! เจ้าคิดร้ายกับข้าจริงๆ” ฉืออิ๋งกัดไปคำหนึ่งแล้วก็ร้องไห้ต่อ
หลูฉี่ได้แต่ปล่อยให้โชคชะตานำพาแล้ว เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเพื่อจะเช็ดเหงื่อบนใบหน้า ทว่าการกระทำนี้กลับทำให้ลูกน้องของเขาพูดทึกทักขึ้นมาอีก
“ใต้เท้าหลูรีบหยุดมือ! จะมัดองค์หญิงไม่ได้เด็ดขาดนะขอรับ!”
ไม่เพียงแค่นั้น ลูกน้องคนนี้ยังโผเข้ามาโอบรอบขาของหลูฉี่ไว้อย่างเหนียวแน่น
ฉืออิ๋งหยุดร้องไห้ไปชั่วขณะ พลางเอ่ยปากด่าทอ “คนสารเลว! เจ้ายังกล้ามามัดข้าอีกรึ!”
หลูฉี่กัดผ้าเช็ดหน้าด้วยความอัดอั้นตันใจ พูดเสียงสะอื้นกับ ‘ของ’ ที่ห้อยติดอยู่กับขา “ที่จริงแล้วเจ้าเป็นสายที่ไป๋สิงเจี่ยนส่งเข้ามาในสำนักตรวจการใช่หรือไม่”
“ไม่ใช่เลย…ไม่ใช่นะขอรับ ใต้เท้าหลูคงไม่ทราบ มีแต่พวกเราที่ส่งคนแฝงเข้าหาไป๋สิงเจี่ยน อย่างเช่นเมื่อวานนี้ก็มีสายแจ้งมาว่าเซ่าลิ่งสื่อที่ไป๋สิงเจี่ยนวางใจมากคนหนึ่งทำความผิด”
หลูฉี่ลืมสะอื้น ฉืออิ๋งก็ลืมร้องไห้ ทั้งสองต่างพูดขึ้นมาพร้อมกัน “จะเป็นไปได้อย่างไร!”
สายของสำนักตรวจการถูกวางไว้ทั้งในและนอกราชสำนัก นี่เป็นเรื่องจำเป็นในหน้าที่ อย่างไรเสียภาระหน้าที่ของสำนักตรวจการก็คือการตรวจสอบขุนนางทุกฝ่าย หากความสามารถในการตรวจสอบตกต่ำ ไม่อาจขุดคุ้ยความลับของขุนนางทั้งหลายได้ นั่นก็หมายความว่าสำนักตรวจการบกพร่องต่อหน้าที่ ดังนั้นเพื่อการสร้างประวัติ ทำผลงาน และเพื่อรักษาชื่อเสียงของสำนักตรวจการเอาไว้ วิธีการต่างๆ ไม่ว่ามีเท่าไร จะในที่มืดหรือที่สว่างก็ล้วนถูกนำมาใช้ทั้งหมด ไม่กลัวว่าหัวหน้าสำนักตรวจการจะจิตใจสกปรก กลัวแค่เพียงจะไม่ทำอะไร เมื่อไม่ทำก็คือไร้ความสามารถ นี่คือข้อกำหนดของสำนักตรวจการ
กล่าวได้ว่าแม้แต่เหล่าขุนนางสกปรกยังถูกสำนักตรวจการตรวจสอบถึงเพียงนี้ แล้วกับหลันไถที่เป็นคู่แค้นยิ่งนั้น พวกเขาจะปฏิบัติได้อย่างขาวสะอาดหรือ ตั้งแต่วันที่ไป๋สิงเจี่ยนเข้ามาดูแลหลันไถ คนผู้นั้นก็ทำให้ราชสำนักเกิดความปั่นป่วน และยังคิดบ่อนทำลายสำนักตรวจการ สำนักตรวจการจึงตั้งใจเตรียมการตอบโต้กลับ ด้วยการส่งสายสืบและคนแฝงตัวเข้าไปในหลันไถเป็นจำนวนมาก ผลกลับกลายเป็นว่าคนเหล่านั้นล้วนขาดการติดต่อ หูตาล่องหน สายลับล้มเหลว…ไม่กล่าวถึงความอนาถต่างๆ จะดีกว่า สรุปได้ว่าพวกเขาไม่เคยหาจุดอ่อนของหลันไถพบมาก่อน
ฉืออิ๋งเข้าใจเรื่องนี้อย่างทะลุปรุโปร่ง ดังนั้นจึงไม่กล้าเชื่อว่าจะมีเรื่องดีๆ เช่นนี้
หลูฉี่เพิ่งมารับตำแหน่งใหม่ เดิมทีเขากำลังใคร่ครวญเรื่องจุดไฟสามคบพอดี แต่นี่ไฟคบแรกก็มาอยู่ตรงหน้าแล้ว ช่างโชคดีจริงๆ