ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน อาจารย์ข้าน่ารังแกที่สุด! บทนำ-บทที่ 1
“เรื่องนี้จริงแท้แน่นอน ข่าวเชื่อถือได้ ที่สำคัญที่สุดก็คือเกิดเรื่องร้ายในหลันไถขึ้นแล้ว แต่ไป๋สิงเจี่ยนกลับไม่ระแคะระคายเลยสักนิด ฮึ!” เจ้าหน้าที่สำนักตรวจการกล่าวขึ้นด้วยความมั่นใจยิ่ง
ฉืออิ๋งไม่กล้ามองในแง่ดีนัก “พวกท่านแน่ใจหรือว่าไป๋สิงเจี่ยนไม่ระแคะระคาย ไม่ใช่ว่าเขาจงใจแกล้งไม่รู้หรอกนะ ไม่มีเรื่องใดที่จะปิดบังเขาได้ง่ายๆ”
“องค์หญิง ใต้เท้าหลู เคยได้ยินเรื่อง ’ฝันเห็นพู่กันผลิดอก’ หรือไม่”
เจ้าหน้าที่สำนักตรวจการจึงเล่าเรื่องราวที่ผ่านมาอย่างละเอียดหนึ่งรอบ หลูฉี่และฉืออิ๋งยิ่งฟังก็ยิ่งตื่นเต้น โดยเฉพาะฉืออิ๋ง นางถึงกับลืมที่มารดาสั่งห้ามไว้แล้ว เมื่อมีจุดอ่อนของไป๋สิงเจี่ยนอยู่ตรงหน้าเช่นนี้ นางก็ไม่อาจต่อต้านความเย้ายวนนี้ได้เลย
ในเวลาเดียวกับที่สำนักตรวจการกำลังวางแผนลับอยู่นั้น หลันไถที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็ปกคลุมไปด้วยบรรยากาศอีกแบบหนึ่ง
หลังไป๋สิงเจี่ยนกลับมาถึงหลันไถ กิจวัตรทุกวันของเขาก็คือการสะสางงานภายใน โดยมีเซ่าลิ่งสื่อ ซูลิ่งสื่อ เจี้ยวซูหลางอยู่กันอย่างพร้อมหน้า
“ไท่สื่อ เมื่อเร็วๆ นี้สำนักตรวจการแต่งตั้งหัวหน้าสำนักตรวจการคนใหม่ ต้องตรวจสอบความเป็นมาของเขาหรือไม่ขอรับ” เซ่าลิ่งสื่อหนุ่มผู้หนึ่งชิงเอ่ยถามก่อน
ไป๋สิงเจี่ยนจัดแจงเสื้อคลุม ก่อนจะนั่งอย่างเรียบร้อยอยู่เบื้องหน้าโต๊ะไม้ตัวยาว และวางท่อนแขนลงบนโต๊ะไม้หลีตัวเล็กที่อยู่ตรงหน้า เขาไม่ได้แสดงความเห็นต่อคำถามนี้
เนื่องด้วยรอบด้านเงียบงัน ช่วงเวลาที่ไม่มีการพูดคุยกันนี้จึงยิ่งกลายเป็นความอึมครึม เซ่าลิ่งสื่อที่เอ่ยถามไว้ตอนต้นพลันรู้สึกถึงแรงกระทุ้งที่น่อง ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่ทราบถึงสาเหตุที่ไป๋สิงเจี่ยนไม่ตอบเขา ไม่ใช่พูดอย่างชัดแจ้งว่าหลันไถกับสำนักตรวจการเป็นคู่แค้นกันหรอกหรือ หรือไท่สื่อนึกเมตตาสำนักตรวจการแล้ว
ดวงตาคู่นั้นของไป๋สิงเจี่ยนราวผืนน้ำในสระที่เย็นยะเยือก ซึ่งลึกเสียจนไม่เห็นก้นสระ ทั้งมองไม่เห็นระลอกคลื่น ไม่มีใครล่วงรู้ความรู้สึกนึกคิดของเขา แต่หากทำงานที่หลันไถมานานแล้วก็ควรเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ได้ ไท่สื่อไม่ตอบกลับก็ถือว่าไว้หน้าแล้ว ควรรีบตรวจสอบตนเองว่าตรงไหนที่พูดหรือทำไม่ถูก หากผู้เรียนในสำนักศึกษาเจาเหวินรู้ว่าไป๋สิงเจี่ยนเย็นชาและเข้มงวดกับคนที่หลันไถถึงเพียงนี้ พวกเขาต้องรู้สึกซาบซึ้งใจเสียจนน้ำตาอาบแก้มว่าอาจารย์ไป๋ไม่เพียงพูดคุยทักทาย แต่ยังไม่เข้มงวดกับพวกเขาในชั้นเรียนด้วย
เซ่าลิ่งสื่อเหงื่อผุดขึ้นตามแผ่นหลัง ไป๋สิงเจี่ยนส่งสายตาให้ซูลิ่งสื่อคนหนึ่ง ซูลิ่งสื่อผู้นั้นเดินขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าว ก่อนจะตอบด้วยเสียงดังชัดเจนและฉะฉาน
“หัวหน้าสำนักตรวจการคนใหม่ชื่อหลูฉี่ เป็นคนเมืองหลิงชาง มณฑลหวาโจว พ่อชื่อหลูอี้ ปู่ชื่อหลูไหวเซิ่น เขาอาศัยบารมีของปู่จึงได้เป็นผู้ตรวจการมณฑลจงโจวและกั๋วโจว สร้างผลงานไว้มากมาย สอบวัดผลออกมาอยู่ในระดับสูง ปีนี้จึงถูกโยกย้ายมาเป็นหัวหน้าสำนักตรวจการ รับช่วงดูแลต่อจากเหลียงโจว หลูฉี่เป็นคนคล่องแคล่ว ผู้คุมสอบกล่าวคำชมเชยเขาเอาไว้มาก ทั้งเขายังเคยคลี่คลายคดีความมามากมาย โดยเฉพาะเรื่องการเสาะหาหลักฐานความผิดของขุนนางในราชสำนัก ส่วนวิธีการนั้น…คนนอกไม่อาจล่วงรู้ได้”
ประวัติส่วนตัวของคู่อริชุดนี้เพิ่งได้มาใหม่ล่าสุด ที่ทำยากนั้นมิใช่การรวบรวมข้อมูล แต่เป็นเรื่องของการเรียบเรียงประวัตินี้ด้วยความเร็วสูงสุด และเตรียมพร้อมที่จะถ่ายทอดเรื่องราวเสมอหากเบื้องบนสอบถาม
ในที่สุดเซ่าลิ่งสื่อก็เข้าใจว่าตนเองพลาดตรงไหน ซึ่งเขาก็ยอมรับความผิดพลาดนี้ได้
ประวัติส่วนตัวชุดนี้นำมาซึ่งความสนใจแก่เหล่าเจ้าหน้าที่ของหลันไถ ทุกคนล้วนพูดคุยกันถึงเรื่องนี้ ฝั่งตรงข้ามเป็นคู่อริที่แข็งแกร่ง พวกเขาต้องระวังตัวไว้ให้ดี
ไป๋สิงเจี่ยนฟังจบก็ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรเพิ่มเติม หากวัดความสามารถในการเสาะหาหลักฐานความผิด อดีตหัวหน้าสำนักตรวจการเหลียงโจวก็ไม่ได้ด้อยกว่านัก แล้วเหลียงโจวที่ทุ่มเททั้งความคิดและชีวิตมาจู่โจมหลันไถ ในตอนนี้เขาถูกลอยแพไปถึงที่ใดแล้วเล่า
“ทุกอย่างเหมือนเดิม” ไป๋สิงเจี่ยนใช้สี่คำนี้สรุปแนวทางการรับมือ น้ำเสียงที่เอ่ยทุ้มต่ำ ทั้งไม่ได้ดังมาก แต่เมื่อเข้าหูของคนฟังทั้งหลายแล้วก็เหมือนแรงกดดันอันใหญ่หลวง สามารถสงบเสียงเอะอะภายในห้องลงได้
เมื่อสะสางหัวข้อยากๆ ที่คนทั้งหลายหยิบยกในลำดับถัดมาจนลุล่วง เงาแดดก็เคลื่อนคล้อย เป็นการบอกว่าใกล้ยามอู่ แล้ว
เหล่าเจ้าหน้าที่ขอตัวลา พวกเขาต่างรู้ว่าร่างกายของไป๋สิงเจี่ยนเป็นเช่นไร ไม่ควรให้ยืนหรือนั่งนาน
รอจนคนทั้งหมดจากไปแล้ว ไป๋สิงเจี่ยนก็ลองใช้โต๊ะเล็กและโต๊ะยาวพยุงตัวยืนขึ้น แต่ไม่ว่าลองกี่ครั้งก็ล้วนกลับไปล้มนั่งลงตลอด เขาผ่อนลมหายใจออก แล้วมองไปยังไม้เท้าที่ตั้งพิงกับโต๊ะยาวอยู่ เขาจำเป็นต้องยืนขึ้นถึงจะหยิบไม้เท้านั้นมาได้…
ไม่มีอะไรที่หัวหน้าสำนักหลันไถทำไม่ได้ แต่เมื่อห่างจากไม้เท้าแล้ว แค่จะก้าวสักก้าวก็ยังลำบาก
พวกเจ้าหน้าที่ของหลันไถไม่ใช่ไม่รู้ถึงความทุกข์ทรมานของไป๋สิงเจี่ยน แต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยถาม ยิ่งไม่มีใครกล้าเข้าใกล้หรือช่วยเขาต่อหน้า ไม่ใช่ว่าไม่อยากช่วย แต่เป็นเพราะไม่มีใครกล้าช่วยต่างหาก แม้ไป๋สิงเจี่ยนจะมีปัญหาร่างกาย ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่อยากพึ่งพาคนอื่น ยอมสิ้นเปลืองแรงตนเองก็ไม่ยอมให้ใครยื่นมือมาช่วย คนที่อยู่หลันไถมานานต่างรู้ว่าไป๋สิงเจี่ยนรังเกียจคนที่มาแตะต้องตัวเขาเพียงใด…รังเกียจมากจนถึงขั้นไร้เหตุผลเชียวล่ะ
ระหว่างที่ไป๋สิงเจี่ยนอยู่ในสถานการณ์ที่พยายามหยัดกายลุกขึ้นยืนและล้มกลับไปนั่งนับครั้งไม่ถ้วนนั้น ก็มีแขกที่ไม่ได้รับเชิญก้าวเท้าข้ามประตูมา ซึ่งทันได้เห็นภาพตอนที่เขาล้มไม่เป็นท่าด้วย
ฉืออิ๋งนิ่งค้างอยู่กับที่โดยเท้าข้างหนึ่งอยู่ด้านในและเท้าอีกข้างอยู่ด้านนอก ขณะนี้นางตื่นตระหนกอย่างมาก ราวกับไปเห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็นเข้า ไม่แน่นางอาจจะถูกล้างแค้นด้วยความโกรธเกรี้ยว รุนแรงหน่อยก็ถึงขั้นฆ่าปิดปาก!
ไป๋สิงเจี่ยนเองก็คิดไม่ถึงว่า ‘ดาวหายนะ’ จะมาปรากฏตัวที่หน้าประตูเช่นนี้…
โปรดติดตามตอนต่อไป…