บทที่ 2
หลังจากฉืออิ๋งปรึกษาแผนการกับคนที่สำนักตรวจการแล้ว นางก็เห็นว่าเรื่องนี้สามารถล้มไป๋สิงเจี่ยนได้ และอีกไม่นานนางก็จะได้ขึ้นรับตำแหน่งจักรพรรดินี ได้ครอบครองอาณาจักร จุดสูงสุดของชีวิตกำลังอยู่ใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว!
เพื่อหาข่าวจากคู่อริ นางจึงไม่หวั่นเกรงที่จะเข้าถ้ำเสือ การมาหาข่าวที่หลันไถก็เพื่อยืนยัน ‘แผนล้มไป๋’ นี้ ไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดใดขึ้น นางย่อมคาดไม่ถึงว่าพอตนเองก้าวเท้าข้ามประตูมา ภาพแรกที่ได้เห็นจะเป็นไป๋สิงเจี่ยนล้มไม่เป็นท่า นี่เป็นภาพที่เหนือความคาดหมาย แตกต่างกับท่าทางในยามปกติของเขายิ่งยวด
นางตะลึงกับภาพที่เห็นเบื้องหน้านี้ ใจเต็มไปด้วยความกังวล และที่น่าประหวั่นมากกว่านั้นก็คือ ดูเหมือนไป๋สิงเจี่ยนจะเห็นนางแล้วเช่นกัน สายตาของเขายามกวาดผ่านไปนั้นราวกับมีกลิ่นอายมรณะ ประหนึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการฆ่าปิดปากอย่างไรอย่างนั้น
ด้วยเป็นถึงองค์หญิงผู้สูงส่ง ฉืออิ๋งย่อมเห็นคุณค่าของชีวิตตนเองยิ่งนัก นางตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด ชักขาข้างที่ก้าวผ่านประตูกลับมา แล้วหันร่างกลับไปแสร้งทำเป็นไม่เห็นเสียเลย ก่อนจะวิ่งออกไป นางมีรูปร่างปราดเปรียวอยู่แล้วจึงเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่วราวกับเป็นกระต่ายน้อยที่อยู่นิ่งไม่ได้
เมื่อไป๋สิงเจี่ยนมองเห็นดาวหายนะนี้วิ่งหนีออกไป ไม่เหมือนจะมาทำเรื่องไม่ดีสักนิด เขาก็อดโล่งใจไม่ได้ มือข้างหนึ่งกลับไปยันที่โต๊ะยาวอีกครั้ง ก่อนพยุงร่างท่อนบนขึ้น เหงื่อที่หน้าผากไหลรินลงมาตามแก้ม แล้วหยดลงมาที่หลังมือ แต่ไม่ว่าเขาจะลองอีกสักกี่ครั้ง ผลก็ยังเป็นเช่นเดิม เขาก้มลงมองเข่าทั้งสองข้างของตนเอง อยากให้สภาพเช่นนี้จบสิ้นเสียที
เม็ดเหงื่อไหลลงมาที่หางตา ส่งผลให้สายตาของไป๋สิงเจี่ยนพร่ามัว จู่ๆ ไม้เท้าที่เขาพยายามเอื้อมอย่างไรก็ไม่ถึงพลันเข้ามาใกล้มือมากขึ้นเสียอย่างนั้น เขาเลื่อนสายตาไปตามไม้เท้า ข้างหนึ่งของไม้เท้ามีมือเล็กขาวข้างหนึ่งจับไว้อยู่ ข้อมือที่โผล่พ้นออกจากแขนเสื้อสีรากบัวสวมสร้อยข้อมือเอาไว้ ด้ามไม้เท้าถูกยื่นมาตรงหน้าเขา
ฉืออิ๋งไปแล้วหวนกลับมา ด้วยนางรู้สึกว่าเรื่องการหกล้มของหัวหน้าสำนักหลันไถถือเป็นเรื่องหนึ่ง ช่วยเหลือคนที่ร่างกายไม่สมบูรณ์ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ความหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีของหัวหน้าสำนักหลันไถไม่ได้อยู่ในความคิดนางแม้แต่น้อย ในสายตานางเห็นเพียงบุรุษที่มีร่างกายบกพร่องคนหนึ่งกำลังต้องการความช่วยเหลือ จะกลัวไปไยว่าเขาจะยอมรับความปรารถนาดีของนางหรือไม่ แล้วยินดีให้นางเข้าใกล้หรือไม่ อย่างไรเสียนางก็ไม่ใส่ใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ด้วยกลัวว่าเขาจะเอื้อมมือมาไม่ถึง นางจึงเดินเข้าไปใกล้อีกสองก้าว ส่งไม้เท้าให้เขา
จู่ๆ พื้นที่ส่วนตัวของไป๋สิงเจี่ยนก็ถูกรุกล้ำด้วยความอ่อนเยาว์ซึ่งเปี่ยมด้วยชีวิตชีวาและกลิ่นหอมโชยอ่อน การบุกรุกในครั้งนี้ของฉืออิ๋งสร้างแรงกดดันให้แก่เขาอย่างมาก เขาสะบัดมือรับไม้เท้าเอาไว้ คิดเพียงอยากจะหลีกหนีไปให้ไกลเท่านั้น ที่ผ่านมากลิ่นหอมที่เข้ากับไป๋สิงเจี่ยนได้ก็มีแต่กลิ่นของดอกกล้วยไม้ ทันทีที่ได้กลิ่นหอมอันไม่คุ้นเคยนี้ก็รู้สึกมึนงง ร่างกายโอนเอน
ฉืออิ๋งเตรียมให้เหตุผลสำหรับการกระทำของตนเองในครั้งนี้แล้ว เดิมทีคนที่ร่างกายไม่สมบูรณ์ก็ไม่ควรฝืนตนเองมากเกินไป ควรพักผ่อนให้มากถึงจะดี นางจึงเดินเข้าไปใกล้เขาอีกสองก้าว สองมือยื่นออกไปจับที่แขนของไป๋สิงเจี่ยน แล้วประคองร่างเขานั่งลง
ตอนนี้บอกได้เพียงว่า…จิตใจของคนที่ถูกประคองอยู่นั้นได้พังทลายลงแล้วโดยสิ้นเชิง
ก่อนหน้านี้แรงกดดันอันรุนแรงได้เกิดขึ้นไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่นี่เพียงชั่วครู่มันก็เกิดขึ้นซ้ำอีกหน แขนที่ถูกสัมผัสรู้สึกคล้ายกับถูกลงทัณฑ์ เกรงว่าผิวหนังใต้แขนเสื้อของเขาคงแดงเป็นแถบแล้ว สาเหตุเพราะเขามีความรู้สึกไวต่อการถูกเนื้อต้องตัวรุนแรงยิ่งนัก และไวเกินกว่าคนปกติ ความรู้สึกของการถูกบังคับให้นั่งลงในครั้งนี้จึงเลวร้ายยิ่ง…
ฉืออิ๋งไม่ได้ล่วงรู้ถึงความคิดของเขาเลยแม้แต่น้อย นางเพียงฉงนใจที่ตนเองสามารถปฏิบัติต่อศัตรูได้อย่างใจกว้าง รู้สึกประทับใจกับการแสดงออกของตนเองยิ่งนัก นางเข้าถึงตัวไป๋สิงเจี่ยนถึงเพียงนี้แล้วก็ไม่เห็นเขามีท่าทางไม่ชอบใจแต่อย่างใด อีกทั้งการเข้าใกล้ในครั้งนี้ยังทำให้นางพบโดยบังเอิญว่าเขามีใบหน้าที่ชวนมองยิ่ง แม้ขาสองข้างไม่อาจเดินได้ตามปกติ แต่ด้วยรูปร่างที่สูงและท่วงท่าที่สง่างามแล้ว ก็ไม่ผิดไปจากที่เขาว่ากันเลย…ตระหง่านประดุจขุนเขาหยก
เหงื่อที่หน้าผากของไป๋สิงเจี่ยนกำลังจะเข้าไปในดวงตาของเขา ฉืออิ๋งหยิบผ้าเช็ดหน้าไหมที่หอมหวนของนางเช็ดเหงื่อให้เขา
ไป๋สิงเจี่ยนพลันแข็งทื่อไปทั้งร่าง เขาได้แต่ฝืนทนไม่ให้ตนเองจามออกมา กระทั่งทนจนแทบทนต่อไปไม่ไหว เขาจึงปัดมือข้างนั้นออกไปด้วยความขุ่นเคือง ถือวิสาสะเกินไปแล้ว! องค์หญิงอย่าได้หาว่าข้าไม่เกรงใจแล้วกัน!