เมื่อเจ้าหน้าที่ของหลันไถไดัยินคำพูดนี้ก็พากันตกตะลึง น่าสงสารที่ฉืออิ๋งยังไม่รู้สถานการณ์ของตนเอง นางเพียงมองดูพวกเขารับคำสั่งของไป๋สิงเจี่ยนและไปเตรียมพู่กันกับหมึกมาอย่างงงๆ
ไม่เสียทีที่หลันไถเป็นหอบันทึกประวัติศาสตร์ แม้แต่ยามที่อยู่ในห้องครัวก็ยังสามารถหาพู่กันกับหมึกมาได้ เพียงเปิดหน้าโต๊ะขึ้นมาก็จะเห็นเป็นโต๊ะเขียนหนังสือ
ซูลิ่งสื่อนำสมุดปกเขียวเล่มใหม่เอี่ยมมา ก่อนจะเปิดสมุดปกเขียวด้วยสองมือแล้ววางไปบนโต๊ะ ไป๋สิงเจี่ยนมือหนึ่งจับไม้เท้า มือหนึ่งรับพู่กันมา ข้อมือของเขายกขึ้นเล็กน้อย ปาดหมึกบนแท่นฝนหมึกที่ผู้ใต้บังคับบัญชาอีกคนถือไว้
“สมุดปกแดงบันทึกผลงาน ปกเขียวบันทึกเรื่องราว วันนี้องค์หญิงเสด็จมาที่หลันไถ ทุกอิริยาบถและคำพูดจะต้องให้เจ้าหน้าที่บันทึกไว้ตามจริง แล้วนำเก็บไว้ในหอเพื่อเตรียมตรวจสอบ” หลังจากชี้แจงการกระทำของตนเองจนจบแล้ว ไป๋สิงเจี่ยนก็เขียนลงในสมุด การเคลื่อนไหวล้วนเฉียบขาด ท่วงท่าสง่างาม ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ใดได้แสดงความเห็นแม้แต่น้อย
ในตอนแรกฉืออิ๋งยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูก ภายหลังเมื่อใคร่ครวญจนเข้าใจแล้ว นางก็ตกตะลึงในทันที นี่เป็นการข่มขู่กันชัดๆ หากเรื่องนี้กระจายออกไป ข้าก็ไม่ใช่รัชทายาทตัวจริงแล้ว!
คนทั้งหมดเห็นฉืออิ๋งกระโดดลงจากเก้าอี้ เคลื่อนไหวว่องไวประดุจกระต่าย นางวิ่งด้วยสีหน้าแตกตื่นมาจนถึงเบื้องหน้าไป๋สิงเจี่ยน…
ตุบ…นางคุกเข่าแล้วเข้ากอดขาเขาเอาไว้!
“ตัวศิษย์เพียงแค่เล่นสนุกเท่านั้น อาจารย์ไม่ใช่สอนให้ศิษย์ต้องคอยสอดส่องชีวิตราษฎรหรอกหรือ ศิษย์มาที่ห้องครัวของหลันไถก็เพื่อสังเกตเท่านั้น จนรู้ว่าพวกเขาไม่เคยกินแป้งม้วนไส้ไข่ปู หนีอวี๋ย่าง เป็ดห่านย่าง น้ำแกงข้นกีบอูฐ ศิษย์เลยอยากจะนำของเหล่านี้มาให้พวกเขาได้ชิมรสชาติเท่านั้น เป็นเช่นนี้ไม่ดีหรือ”
ตุบ ตุบ ตุบ…เสียงหมั่นโถวในมือเจ้าหน้าที่ของหลันไถพลันร่วงตกลงพื้นหมด
ยามนี้หมั่นโถวในมือจะตกลงพื้นก็ไม่เป็นไรแล้ว เพราะทุกคนในหลันไถล้วนพุ่งจุดสนใจไปที่ขาของหัวหน้าสำนักหลันไถต่างหาก แม้แต่แมวที่เลี้ยงในหลันไถจนเชื่องยังไม่กล้ากระโดดมาที่ขาของหัวหน้าสำนักหลันไถ กระทั่งแมวที่เป็นเพียงสัตว์ยังตระหนักรู้ว่าที่ตรงนั้นคือเขตหวงห้าม…แมวยังรู้ แล้วคนจะไม่รู้หรือ!
นอกจากรุกล้ำเขตหวงห้ามแล้วยังแสดงอาการฉอเลาะไม่ถูกเวลา องค์หญิงเคยได้ยินชื่อเสียงที่ทำให้คนอกสั่นขวัญแขวนของไป๋สิงเจี่ยนหรือไม่ ช่างอ่อนเยาว์เสียจริง
สำหรับฉืออิ๋งแล้ว การต้องถูกบันทึกลงในประวัติศาสตร์ด้วยเรื่องนี้นั้นนางไม่เป็นกังวลสักนิด ต่อให้ภายหลังจะถูกด่าว่าก็ดี หรือได้ชื่อว่าเลวก็ช่าง ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพียงความเลื่อนลอยทั้งสิ้น ทว่าก้นของนางถือเป็นเรื่องสำคัญ ขอเพียงไป๋สิงเจี่ยนบันทึกเรื่องของนางลงสมุดปกเขียว รับรองว่าไม่เกินหนึ่งก้านธูป บิดามารดาที่ดูไม่เหมือนเป็นบิดามารดาบังเกิดเกล้านั้นจะต้องสั่งให้คนมาพาตัวนางกลับวังแน่นอน ทางหนึ่งจะแสดงความรักต่อหน้าอย่างจอมปลอม อีกทางหนึ่งก็จะโบยตีลูกน้อย โดยพวกเขาจะแบ่งหน้าที่กันอย่างดี คนหนึ่งจะตีลูกด้วยท่าทางอันเจ็บปวดรวดร้าวจนอยากตาย อีกคนหนึ่งก็จะปลอบโยนสุดกำลัง แสดงให้เห็นว่าการมีลูกที่หัวรั้นไม่รู้กาลเทศะผู้นี้ถือเป็นความผิดของตนเอง ทั้งสองล้วนแสดงบทบาทกันอย่างเต็มที่ ลูกน้อยที่ถูกตีเช่นนางกลายเป็นเพียงตัวประกอบ ทั้งยังห้ามแสดงท่าทีต่อต้านด้วย
ไป๋สิงเจี่ยนยืนนิ่งดุจภูเขาไท่ซาน ใบหน้าเขาปราศจากสีเลือด ไอเย็นคล้ายบึงน้ำในฤดูหนาวพลันแผ่ซ่านไปทั่วร่าง มือที่จับไม้เท้าเกร็งจนเส้นเขียวขึ้น