“ทรงปล่อยพระหัตถ์ด้วยพ่ะย่ะค่ะ” คำเรียบๆ สองคำหลุดออกจากริมฝีปากของไป๋สิงเจี่ยน ฟังไม่รู้ชัดเจนว่ามีความรู้สึกใด ถึงกระนั้นการรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายยะเยือกจากร่างเขาก็มากพอที่จะทำให้คนต้องออกห่างแล้ว
บรรยากาศในตอนนี้อย่าว่าแต่ฉืออิ๋งที่กลัวเกรงเลย กระทั่งหัวหน้าสำนักตรวจการที่คอยสังเกตการณ์อยู่บนกำแพงอีกฝั่งของตรอกคั่นก็ยังหนาวจนร่างสั่นเทาในชั่วพริบตา “นี่หลันไถจะมีลูกไม้อะไรอีก หรือว่าแผนการขององค์หญิงถูกเปิดโปงแล้ว”
การที่ฉืออิ๋งวู่วามไม่ได้หมายความว่านางทึ่มทื่อ เมื่อใจกล้าขนาดกอดขา ‘เสือ’ แล้ว นางก็ย่อมตระหนักดีว่าตนเองต้องยอมกลายเป็นอาหารเสือ นางนั่งลงไปบนพื้นแล้วปล่อยมือแต่โดยดี ทั้งยังช่วยจัดแจงชายชุดของไป๋สิงเจี่ยนที่มีรอยยับราวกับขอคืนดี ด้วยคิดว่าทำเช่นนี้แล้วก็ถือว่าหายกัน
ในห้องครัวที่มีคนล้อมดูอยู่จนเต็มนั้นพลันเงียบกริบ พลันทุกคนได้ยินเสียงเพียะดังขึ้น มือสองข้างของฉืออิ๋งถูกสมุดปกเขียวตีเข้าให้ ทำให้นางและไป๋สิงเจี่ยนแยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง
ที่ถูกตีนั้นไม่มีทางที่ฉืออิ๋งไม่เจ็บ เพียงแต่นางอดทนเอาไว้
เมื่อขจัดตัวที่เกาะหนึบออกไปแล้ว ไป๋สิงเจี่ยนก็ยื่นสมุดปกเขียวที่เขียนเสร็จแล้วให้ซูลิ่งสื่อคนหนึ่ง ก่อนจะขยับไม้เท้าพาร่างที่มีสภาพกรุ่นโกรธหมุนตัวจากไป
ฉืออิ๋งกระโจนร่างมาแย่งเอาสมุดปกเขียวจากมือของซูลิ่งสื่อ นางรีบเปิดออกดู เห็นเพียงแถวตัวอักษรของอาลักษณ์อันดับหนึ่งแห่งราชสำนักเขียนไว้ว่า
‘หยวนสี่ปีที่สิบหก ฤดูใบไม้ผลิ…แข็งแกร่งอ่อนโยน กล้าหาญยืนยง คนดั่งอักษร ทะนงมุ่งมั่น’
ฉืออิ๋งหัวเราะหึๆ นางไม่ใช่เพิ่งเคยเห็นลายมือของไป๋สิงเจี่ยนเสียหน่อย นางเคยเห็นจากฎีกาที่เขาเสนอแก่มารดาของนางมาก่อน ความเห็นที่ลงไว้ในสมุดการบ้านนางก็เห็นมาไม่น้อย แต่ไม่เคยรู้สึกเหมือนรอดตายจากเหตุร้ายเช่นนี้มาก่อน ราวกับตายแล้วได้เกิดใหม่ คล้ายชีวิตได้รอดพ้นจากหายนะ หลังจากฉืออิ๋งเห็นตัวอักษรเหล่านี้แล้ว จิตใจนางก็เกิดความเบิกบานขึ้นมา แม้แต่ตัวอักษรของไป๋สิงเจี่ยนก็ถูกมองเสียใหม่
แน่นอนว่าจิตใจนางเบิกบานก็ด้วยเหตุผลที่แน่วแน่อีกประการหนึ่ง
ฉืออิ๋งพลิกมือโยนสมุดปกเขียวทิ้งไป มือของนางควานหากุญแจดอกหนึ่งที่เก็บไว้ในแขนเสื้อ ก่อนจะกระโดดข้ามธรณีประตูห้องครัวออกไปด้วยก้าวย่างที่งดงาม
ผู้คนในห้องครัวเห็นดาวหายนะจากไปเช่นนี้ก็ผ่อนลมหายใจตามๆ กัน ต่างหาที่นั่งแล้วนั่งลงกินอาหารไปพลางใคร่ครวญเรื่องสมุดปกเขียวเมื่อครู่นี้ไปพลาง
“พวกเจ้าว่าไท่สื่อคิดจะบันทึกคำพูดและการกระทำขององค์หญิงลงสมุดปกเขียวจริงๆ หรือ”
“แล้วจะไม่จริงได้อย่างไร ท่าทางแบบนั้นไม่เหมือนว่าแค่ข่มขู่เสียหน่อย! อีกอย่าง พวกเจ้าเคยเห็นไท่สื่อพูดแล้วไม่ทำด้วยหรือ”
“แล้วเหตุใดจึงไม่บันทึกเล่า หรือว่าถูกองค์หญิงทำให้โกรธ”
“ก่อนหน้านี้พวกเจ้าเคยเห็นมีผู้ใดกล้าโอบขาไท่สื่อบ้าง ดังนั้นไม่ใช่เพียงแค่โกรธแล้ว บางทีอาจถึงขั้นโกรธจนแผ่นดินสะเทือน ไท่สื่อคอยพูดอยู่เสมอว่ายามที่โกรธจัดอย่าได้ด่วนตัดสิน อย่าเขียนเรื่องราว”
ผู้คนทั้งหลายพลันกระจ่างในทันใด…ไท่สื่อช่างเป็นคนที่มีหลักการลึกล้ำจริงๆ!
พวกที่ออกความเห็นกันอยู่นั้นกลับมองข้ามความจริงสำคัญไปข้อหนึ่ง คนที่เป็นต้นเหตุแห่งเรื่องยุ่งยากจนสามารถทำให้หัวหน้าสำนักหลันไถโกรธกระทั่งเกือบได้เรื่องนั้นจะเป็นคนที่รับมือได้ง่ายๆ หรือ