ไป๋สิงเจี่ยนให้ความสำคัญต่อบันทึกที่ทรงคุณค่านี้อย่างมาก เขารีบยกชามน้ำแกงออก ก่อนจะยกหนังสือขึ้น เทน้ำแกงที่อยู่ด้านบนหนังสือออกไป แล้วใช้แขนเสื้อเช็ดส่วนที่ยังเปียกอยู่
ตันชิงร้องในใจว่าแย่แล้ว น้ำแกงชามนี้เข้มข้นนัก หกไปบนกระดาษ เกรงว่าจะทำลายหนังสือไปหลายหน้าแล้ว สมองเขาทึ่มทื่อไปในฉับพลัน…หากข้ารีบนำสำรับออกไปตั้งแต่แรกล่ะก็…
ไป๋สิงเจี่ยนรู้ว่าส่วนที่เปียกน้ำแกงไม่มีทางช่วยอะไรได้แล้ว ในชีวิตนี้เขาชังเรื่องการทำร้ายหยาดเหงื่อผู้อื่นยิ่งนัก ทว่าวันนี้กลับตาลปัตร เป็นตัวเขาที่กลายเป็นคนน่าชังผู้นั้นเสียเอง
ไป๋สิงเจี่ยนยกแขนเสื้อออกจากหนังสือด้วยความขุ่นเคืองใจ สายตามองไปที่หนังสืออย่างหมดหวังและจำนน เชื่อว่ามันต้องเลอะเทอะมากแน่ ก่อนที่ตัวเขาจะนิ่งค้างไม่ไหวติงในทันใด ตรงที่น้ำแกงหกรดใส่ ตัวอักษรเดิมกลับไม่ลบเลือนเลยแม้แต่น้อย อักษรทุกตัวยังคงเห็นได้ชัด…แจ่มชัดอย่างยิ่ง
นี่เป็นเรื่องดียิ่ง ตันชิงที่พบเห็นเหตุการณ์อันไม่คาดคิดนี้ก็แสดงความยินดีจนออกนอกหน้า และที่น่าแปลกยิ่งก็คือเมื่อเขามองไปที่ไป๋สิงเจี่ยนแล้วกลับไม่พบความยินดีบนใบหน้าของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเขากลับเห็นเพียงสีหน้าที่เย็นยะเยือกประดุจน้ำแข็ง สติและจิตใจล้วนล่องลอย
“ไท่สื่อ?” ตันชิงเอ่ยเรียก
ไป๋สิงเจี่ยนปล่อยให้หนังสือที่มากคุณค่าในมือหล่นลงพื้น เขายื่นมือไปคลำหาไม้เท้า ทว่าเมื่อมือผ่านช่วงเอวลงไปเขาก็หยุดนิ่งในทันที
ฉืออิ๋งจามครั้งหนึ่ง…นางสัมผัสได้ถึงลางร้ายบางอย่าง ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ใส่ใจมากมายนัก ยังคงเคลื่อนตัวอยู่ระหว่างชั้นหนังสือที่เรียงเป็นแถวๆ กลิ่นเหม็นอับของน้ำหมึกและกองกระดาษเก่าที่เก็บมานานปี รมนางจนมึนศีรษะไปหมดแล้ว
ฉืออิ๋งทั้งมึนศีรษะและตาลาย นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นหนังสือมากมายปานนี้ คาดเดาจากสายตาแล้วน่าจะมีเป็นหมื่นเล่ม เป็นหนังสือที่รวบรวมมาจากทุกราชสำนักทุกรัชศกและจากพื้นที่ต่างๆ ของอาณาจักรจิ่วโจว ในยุคโบราณ แม้แต่ประวัติศาสตร์โพ้นทะเลก็ล้วนเก็บรวบรวมไว้ที่นี่ แต่นี่ไม่ใช่จุดสำคัญ ที่หอไท่สื่อไม่อนุญาตให้คนนอกเข้ามาข้างในเป็นเพราะที่นี่เก็บรักษาบันทึกเรื่องราวของผู้คนในปัจจุบันเอาไว้
ต่อให้ฉืออิ๋งอยากขโมยอ่านเรื่องที่ไป๋สิงเจี่ยนเขียนถึงมารดาของนางมากเพียงใด แต่ด้วยเวลากระชั้นชิด นางจึงอยู่ที่นี่นานไม่ได้ บนชั้นหนังสือสีเหลืองจางเบื้องหน้ามีป้ายเขียนแยกแยะตามตระกูลที่มีชื่อเสียง บางทีอาจมีที่เกี่ยวพันทางสายเลือดของข้า นางมองไปก็เห็นบันทึกของ ‘สกุลเจียงแห่งซีจิง’ นางไม่อาจบังคับสองมือของตนเองไว้ได้ รีบหยิบหนังสือออกจากชั้นมาพลิกเปิดอ่าน และชื่อแรกที่ขึ้นต้นก็เป็นบิดาของนางจริงๆ แต่ไม่ได้บันทึกรายละเอียดอะไรมากมาย เพียงเขียนอธิบายไว้ว่าบันทึกไว้ใน ‘ชีวประวัติสนมชายา‘ ?!
ฉืออิ๋งเกือบจะฉีกหนังสือทิ้ง หลันไถช่างไม่รู้จักการปรับเปลี่ยนเลย ไม่คาดคิดว่าจะบันทึกเรื่องราวบิดาของนางไว้ใน ’ชีวประวัติสนมชายา’ เช่นนี้ เนื่องจากมารดาของนางไม่อยากให้บิดาต้องสูญเสียความนับถือตนเองไป จึงฉีกกฎที่มีอยู่แต่เดิมแล้วจัดตั้งตำแหน่งเฟิ่งจวินขึ้น ได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์ผู้หนึ่ง ซึ่งนางเองก็เรียกอีกฝ่ายว่าเสด็จพ่อ อีกอย่าง มารดาของนางก็ต้องผ่านความยากลำบากมามากกว่าจะยกย่องเสด็จพ่อขึ้นเป็นกษัตริย์ในทุกแห่งหนเช่นนี้ได้ แต่นี่กลายเป็นว่าเมื่อมาถึงหลันไถแล้ว ที่ตบแต่งไว้เบื้องหน้าก็ถูกฉีกขาดเสียสิ้น อาณาจักรไม่อาจมีกษัตริย์สองคน กษัตริย์องค์ที่สองก็คือสนมชายา