บทที่ 3
ฉืออิ๋งเข้าใจแล้ว ไป๋สิงเจี่ยนกำลังบอกให้รู้ว่าเขาไม่คิดปรานีนางอีก
ตันชิงยืนเฝ้าอยู่ที่หน้าประตู เขาได้ยินทุกคำพูดที่ทั้งคู่โต้เถียงกันไปมา จึงอดไม่ได้ต้องปาดเหงื่อ ไท่สื่อต้องการเล่นงานรัชทายาทจนถึงที่สุด หรือว่าเจตนาของไท่สื่อคือเปลี่ยนตัวรัชทายาท! ขณะที่กำลังคิดฟุ้งซ้านอยู่นั้น พลันมีเสียงร้องไห้ดังมาเป็นระลอกจากในหอ สะเทือนจนหูของเขาอื้ออึงไปหมด ผ่านไปครู่หนึ่งแล้วเสียงนั้นก็ยังไม่เงียบ
ตันชิงยื่นหน้าเข้าไปมองข้างในแล้วก็เห็นรัชทายาทนั่งร้องไห้เสียงดังบนพื้น เสียงร้องไห้แต่ละครั้งยาวนานยิ่ง หากยังไม่ร้องจนหมดลมจริงๆ ก็จะไม่ยอมหายใจ มีบ้างที่หายใจไม่ทันจนเกือบขาดใจ แต่หยุดเพียงครู่เดียวก็จะระเบิดเสียงร้องขึ้นมาอีก เสียงร้องไห้ในแต่ละครั้งแทบจะสะเทือนขื่อคานจนฝุ่นผงร่วงกราวทีเดียว
เห็นได้ชัดว่าไป๋สิงเจี่ยนไม่เคยพบเคยเห็นเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน ร่างกายเขาพลันสั่นไหว รีบเอามือจับชั้นหนังสือเอาไว้เพื่อพยุงร่างตนเองให้มั่น เสียงร้องไห้นี้ยังคงดังเสียดฟ้า เมื่อก่อนคิดว่าเป็นเพียงการตีโพยตีพายให้ใหญ่โตเกินกว่าเหตุ แต่ตอนนี้เขาไม่คิดว่าเป็นอย่างนั้น
พลังของเสียงร้องไห้ทะลุทะลวงจนแก้วหูสั่นสะเทือนไปหมด สมองของเขามึนงง หน้าอกคล้ายจุกแน่น ไป๋สิงเจี่ยนพลันกระทุ้งไม้เท้าลงที่พื้น “องค์หญิงหยุดร้องไห้ได้แล้ว!”
เสียงร้องไห้พลันถูกกลบลงในทันที
ฉืออิ๋งร้องไห้จนเหงื่อท่วมร่าง เสียงแหบแห้งหมดแรง นางร้องจนแทบจะหมดสติ
ไป๋สิงเจี่ยนพลิกมือหยิบ ’ชีวประวัติสนมชายา’ ออกมาจากชั้นหนังสือ แล้วโยนลงบนพื้นข้างตัวนาง “ทรงรับไปทอดพระเนตรเถิด”
ฉืออิ๋งสะอื้นพลางหยิบหนังสือบนพื้นขึ้นมา นางไม่มีความคิดจะล้มเลิกไปในตอนนี้แน่
“กฎเมื่อครู่นี้ถือว่ายกเลิก” ไป๋สิงเจี่ยนคิดจะหาที่นั่งลง ศีรษะเขามึนงงมาก ทั้งยังแน่นหน้าอกจนเหมือนจะหายใจไม่ออก
เสียงร้องไห้ของฉืออิ๋งเบาลงจนเหลือเพียงแค่เสียงสะอึกสะอื้นเบาๆ นางใช้แขนเสื้อเช็ดใบหน้าจนเปรอะเปื้อนมอมแมม พื้นรอบตัวนางเหมือนว่ามีแต่น้ำ เสื้อผ้าก็เปียกปอนไปด้วยเหงื่อและน้ำตา ไรผมก็เปียกจนทั่ว
เป็นคนตัวเล็กที่เหมือนถูกสร้างขึ้นมาจากน้ำจริงๆ ไป๋สิงเจี่ยนมองดูนาง แล้วหันไปสั่งตันชิงที่ยืนตะลึงอยู่นอกประตู “ไปเตรียมน้ำร้อน แล้ววางไว้ที่ทางเดิน”
ฉืออิ๋งเช็ดน้ำตาป้อยๆ นางเงยใบหน้าเล็กๆ ที่อาบน้ำตาขึ้นมาเอ่ยถาม “ท่านคงไม่ทูลเรื่องนี้กับเสด็จแม่กระมัง”
“อืม” ที่ไป๋สิงเจี่ยนขู่ไปเช่นนั้นก็เพื่อปราม ‘เด็กสามขวบ’ สีหน้าเขาในยามนี้คล้ายปรากฏความอ่อนโยนขึ้นชั่ววูบหนึ่ง
“ท่านอย่าเอาแต่ปั้นหน้าเช่นนี้สิ ทำให้ผู้อื่นเขาหวาดกลัวหมด”
“อืม…องค์หญิงทรงรีบลุกขึ้นมาเถอะ ไปล้างพระพักตร์ที่ข้างนอก”
“ข้าไม่เหลือเรี่ยวแรงแล้ว ท่านช่วยพยุงข้าหน่อยสิ”
อย่างไรเสียไป๋สิงเจี่ยนก็ไม่เข้าไปพยุงฉืออิ๋งตามที่นางร้องขอ เขาเพียงยื่นไม้เท้าของตนเองออกไป ฉืออิ๋งก็ฝืนใจยอมรับที่เขาช่วยเช่นนี้ ทันทีที่นางจับไม้เท้าของเขาไว้ก็รู้สึกได้ถึงแรงที่ดึงจนนางยืนขึ้น เรี่ยวแรงของเขามากเกินคาด