เมื่อไป๋สิงเจี่ยนแบกฉืออิ๋งแล้ว แต่ละย่างก้าวที่ข้ามธรณีประตูไปนั้นก็ล้วนหนักอึ้งกว่าปกติ เขาหันร่างกลับมาปิดประตูหอไท่สื่อทั้งสองบานด้วยความยากลำบาก หลังจากลงกุญแจประตูเรียบร้อยแล้วจึงโล่งอกได้เสียที นับว่าเคราะห์ร้ายได้ผ่านพ้นหอไท่สื่อไปแล้ว
เขาเดินค้ำไม้เท้าโดยที่บนหลังมีฉืออิ๋งไปยังห้องพักส่วนตัวอย่างไม่พอใจนัก เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าทางเดินของหลันไถช่างคดเคี้ยวเลี้ยวลดเช่นนี้ พลันรู้สึกว่าระยะทางจากหอไท่สื่อไปถึงหอเวยเหยียนจะยืดยาวกว่าวันปกติ
เมื่อวางตัวฉืออิ๋งลงบนตั่งในหอเวยเหยียนแล้ว ไป๋สิงเจี่ยนก็เหนื่อยจนหายใจแทบไม่ทัน เขาพิงร่างอยู่ข้างตั่งครู่หนึ่ง ฉืออิ๋งที่นอนตะแคงขวางตั่งอยู่นั้นพลันพลิกตัว ดูเหมือนนางจะไม่เคยชินกับตั่งไม้แข็งนี้
นี่ก็นับว่าไป๋สิงเจี่ยนเมตตามากแล้วที่ไม่โยนฉืออิ๋งลงไปนอนบนพื้น มีหรือที่เขาจะใส่ใจกับท่าทางการนอนที่ไม่สบายของนางอีก
พักจนเรี่ยวแรงคืนมาบ้างแล้ว ไป๋สิงเจี่ยนลากเท้าที่หนักอึ้งเดินเข้าไปที่ห้องด้านใน แล้วเปลี่ยนชุดชั้นกลางที่ชุ่มเหงื่อออก บัดนี้มือทั้งสองข้างของเขาเห่อแดงขึ้นมาจริงๆ กระทั่งหน้าอกก็ไม่พ้นเคราะห์นี้ เขานั่งลงที่เก้าอี้อย่างหมดแรงแล้วเปิดห่อยามาทา
พอเปลี่ยนชุดเสร็จเรียบร้อย ไป๋สิงเจี่ยนจึงกลับไปที่เบื้องหน้าตั่งอีกครั้ง เขาเพิ่งรู้ในชั่วขณะนั้นเองว่าอะไรที่เรียกว่า ‘ชักศึกเข้าบ้าน’
เพียงไม่นานหมอนแข็งบนตั่งก็ตกไปอยู่ที่ข้างประตู หนังสือที่ข้างหมอนก็ไม่เว้น ถูกปัดหล่นไปกองอยู่บนพื้น ไม่ว่าสิ่งใดกีดขวางการนอนของฉืออิ๋งล้วนไม่รอดพ้นเงื้อมมือนาง ที่สำคัญคือนางยังคงหลับลึกยิ่ง เดิมทีเขาก็พอรู้นิสัยอันโอหังไม่ยอมรับคำตำหนิของผู้ใดของนางอยู่บ้าง แต่นี่ออกจะไร้กฎระเบียบเกินไปแล้วกระมัง ไป๋สิงเจี่ยนโมโหจนอัดอั้นในอก
ไป๋สิงเจี่ยนเดินไปเก็บหมอนเหลี่ยมที่ใช้มาหลายปีตรงข้างประตูขึ้นมาพลางปัดฝุ่นที่เปื้อนหมอนออก แล้วก้มลงเก็บหนังสือบนพื้นทีละเล่ม วันนี้นับว่าเขาใช้งานเอวหนักมาก เขาจึงยืดเอวที่ปวดเมื่อยขึ้น นางมารน้อยที่หลับใหลพลันกลิ้งมาใกล้ขอบตั่ง เขาอยากปล่อยให้นางตกลงมาให้เจ็บตัวเสียบ้าง แต่เมื่อมีความคิดอย่างนี้ในหัวแล้ว ข้างหูก็ราวกับมีเสียงร้องไห้อันแสนบาดจิตบาดใจนั้นลอยตามมาทันที ทำให้ใจเขาประหวั่นพรั่นพรึงยิ่ง ไป๋สิงเจี่ยนไม่อาจยอมรับชะตากรรมนั้นอีกรอบหนึ่ง เขาจึงยื่นมือดันร่างฉืออิ๋งเข้าไปข้างใน
ความรู้สึกสัมผัสอ่อนนุ่มตรงเอวของนางวาบผ่านเข้ามาที่ใจกลางฝ่ามือ ไป๋สิงเจี่ยนพลันหดมือกลับเข้ามา โมโหจนลืมตัวไปแล้วหรือ! เขาเปลี่ยนมาใช้หนังสือดันร่างนางเข้าไปข้างใน แล้วค่อยวางหมอนเหลี่ยมไว้ตรงขอบตั่ง ฉืออิ๋งยังคงพลิกตัวกลิ้งไปมา ประเดี๋ยวก็นอนเป็นรูปอักษร ‘ต้า’ อีกประเดี๋ยวก็นอนเป็นรูปอักษร ‘เหริน’ ไป๋สิงเจี่ยนมองไปที่ตั่งเล็กตัวนี้อย่างทอดถอนใจ อีกไม่นานเขาคงไม่อาจใช้ตั่งตัวนี้ได้อีก
ไป๋สิงเจี่ยนหันร่างกลับไปที่โต๊ะเพื่อจัดการกับหนังสือ เขาค่อยๆ รีดกระดาษให้เรียบทีละหน้า จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงดังตุบ พอหันไปดูก็เห็นหมอนเหลี่ยมถูกถีบออกไปอีก ไป๋สิงเจี่ยนจึงลุกไปหยิบหมอนมาวางตั้งไว้ที่เก้าอี้ แล้วกลับไปนั่งอ่านหนังสือที่โต๊ะอีกครั้ง แต่ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงดังตุบอีก ทว่าหนนี้ดังกว่าเมื่อครู่ ไป๋สิงเจี่ยนเบือนหน้าไปดู เป็นไปตามคาด…ฉืออิ๋งตกไปกองบนพื้นแล้ว
“โอ๊ย! มีคนร้าย…” ฉืออิ๋งเกาศีรษะอย่างงัวเงียพลางลุกขึ้นจากพื้นแล้วปีนกลับขึ้นไปบนตั่ง ตาปิดอยู่แต่ปากยังคงพึมพำว่า “คิดจะทำร้ายข้า…” ก่อนคว่ำหน้านอนหลับสบายไปอีกหน
เห็นทีคงมีเพียงการนอนหลับที่จะหยุดเสียงร้องไห้อันโหยหวนนั้นได้
ไป๋สิงเจี่ยนไม่สนใจฉืออิ๋งอีก หลังจากฝนหมึกแล้ว เขาก็จับพู่กันเขียนฎีกาทูลต่อจักรพรรดินี พอเขียนเสร็จแล้วก็รู้สึกว่าข้างหูตนเองมีลมโชยมา เขาตกใจหันขวับกลับไปมอง เป็นฉืออิ๋งที่มายืนอยู่ข้างหลังเขา