หยวนสี่ตี้กำลังตาลายอยู่ต่อหน้ากองฎีกาที่ถูกส่งมา นางหันหน้าไปถามนางกำนัล “นี่ยังไม่ถึงเวลาอาหารค่ำอีกหรือ”
นางกำนัลทูลว่า “ฝ่าบาท แม้จะถึงเวลาพระกระยาหารค่ำแล้ว แต่เฟิ่งจวินกับองค์หญิงยังเสด็จมาไม่ถึง ฝ่าบาททรงถือโอกาสนี้ทอดพระเนตรฎีการออีกสักหน่อยเถิดเพคะ!”
หยวนสี่ตี้ลูบท้องที่ร้องเสียงดังโครกครากพลางใช้พู่กันค้ำคางเอาไว้ “เจ้าคนไม่เอาไหนสองคนนี้เมื่อไรจะรู้จักรักษาเวลาบ้าง แค่กินอาหารยังไม่ตรงเวลา แล้วจะส่งต่อแผ่นดินให้ดูแลได้หรือ โอ๊ย! เราหิวจริงๆ”
บ่นอุบอิบจบแล้ว หยวนสี่ตี้ก็มองไปที่ฎีกากองเท่าภูเขาบนโต๊ะอีกครั้ง นางนึกอยากจะเป็นไท่ซั่งหวง จริงๆ ความคิดนี้เกิดขึ้นมานับครั้งไม่ถ้วน ตอนที่เฟิ่งจวินยังไม่ได้เป็นเฟิ่งจวิน เคยหลอกว่าจะช่วยให้นางเป็นไท่ซั่งหวงได้ เจ้าคนร้ายกาจไร้ยางอายผู้นั้นให้นางคลอดลูกติดต่อกันจนได้เด็กซุกซนมาสองคนแล้ว นางต้องยืนกรานว่าจะไม่คลอดลูกให้เขาอีก กระทั่งตอนนี้ฉืออิ๋งอายุสิบห้าปีเข้าไปแล้ว นางก็ยังต้องเหนื่อยแสนเหนื่อยเหมือนเดิม โดยที่ยังไม่เห็นท่าทีว่าฉืออิ๋งจะมาเป็นจักรพรรดินีแทนนางได้เลย นี่ทำให้นางกลัดกลุ้มใจอย่างมาก
ฎีกาที่ประดุจสัตว์ป่าดุร้ายแยกเขี้ยวกำลังกองอยู่ตรงหน้า ในกองนั้นมีกล่องประณีตใบหนึ่งโดดเด่นขึ้นมา บนนั้นคล้ายมีตัวอักษร ‘เร่งด่วน’ สองตัว
เป็นฎีกาเร่งด่วนที่ต้องสะสางก่อนใคร…
หยวนสี่ตี้หยิบกล่องมาถือไว้ เปิดออกแล้วหยิบฎีกาออกมา
“เฟิ่งจวิน องค์หญิงเสด็จเพคะ” สุดท้ายนางกำนัลก็โล่งใจได้เสียทีหลังจากเห็นเฟิ่งจวินและรัชทายาทมาถึง ทั้งสองจะได้ช่วยเหลือจักรพรรดินีได้เสียที
“เสด็จแม่! พระองค์รีบทอดพระเนตรเถิด เสด็จพ่อทรงถูกคนรังแกมาเพคะ!” ฉืออิ๋งก้าวข้ามประตูตำหนักมาก็พุ่งตรงไปที่เบื้องหน้าโต๊ะทันที
“เจ้ากลัวบ้านเมืองจะสงบเกินไปหรืออย่างไร หรือพ่อเจ้าทำตัวไม่มีเหตุผลเหมือนที่เป็นอยู่ประจำทุกเดือนอีกแล้ว” หยวนสี่ตี้วางฎีกาลงแล้วมองไปที่ ‘เจ้าเด็กซุกซน’ ซึ่งนางโชคร้ายคลอดออกมา
เฟิ่งจวินเดินเข้ามาในตำหนักด้วยสีหน้าเศร้าโศกหม่นหมอง มาถึงเบื้องหน้าโต๊ะเขาก็โอบหยวนสี่ตี้ “ฝ่าบาท ข้าถูกคนฝังทั้งเป็น!”
หยวนสี่ตี้พยายามผลักมือเฟิ่งจวินออกแต่ก็ไม่เป็นผล “ปล่อยมือเร็วเข้า ถวนถวนมองอยู่นะ”
‘ถวนถวน’ ยกมือปิดตา “ลูกไม่เห็นอะไรทั้งนั้น เชิญพวกท่านตามสบายเพคะ”
เฟิ่งจวินโอบภรรยาผู้เป็นถึงจักรพรรดินีเอาไว้พลางถือโอกาสหยอกล้อ “ไม่ต้องห่วง ถวนถวนไม่เห็นหรอก อีกอย่างหากฝ่าบาทไม่ทรงจัดการให้ข้า คืนนี้ข้าจะไม่ยอมจากไป!” พูดแล้วก็นึกถึงเรื่องสำคัญบางอย่างขึ้นมาได้ เขาจึงลดเสียงลงเอ่ย” ข้าไม่ได้บรรทมร่วมกับฝ่าบาทมาหลายวันแล้ว ฝ่าบาททรงคิดถึงข้าบ้างหรือไม่”
“ท่านไม่เห็นว่าข้ากำลังยุ่งอยู่หรือ!” หยวนสี่ตี้ค้อนเขาครั้งหนึ่ง “ต่อหน้าถวนถวน ท่านช่วยสำรวมหน่อยได้หรือไม่”
เฟิ่งจวินข่มกลั้นความเจ็บปวดใจเอาไว้แล้วปล่อยมือฝืนทำทีเป็นสำรวม ที่จริงเพียงแค่เห็นภรรยา เขาก็ทำท่าสำรวมไม่ได้แล้ว โดยเฉพาะเวลาที่นางตรวจฎีกาอย่างจริงจัง เขาแทบจะบังคับตัวเองไม่ได้
ฉืออิ๋งแหวกนิ้วมือเป็นช่องไว้ตั้งแต่แรกแล้ว นางกำลังมองดูบิดาหยอกเย้า มารดาทำเสแสร้งอย่างเงียบๆ
“ที่แท้เป็นเรื่องอะไรกัน” หยวนสี่ตี้จัดอาภรณ์ที่ยับให้เรียบ ขณะเดียวกันก็คอยจับตามองเฟิ่งจวินที่อยู่ใกล้ๆ เผื่อว่าเขาจะลงมือทำอะไรอีก
“ไป๋สิงเจี่ยนดูหมิ่นข้า หาว่าข้าเป็นขุนนางสอพลอ!” เฟิ่งจวินพยายามบังคับตนเองอย่างเต็มที่ไม่ให้น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาคุกรุ่นไปด้วยความโกรธ
“เขาดูหมิ่นท่านพี่ตรงไหน” หยวนสี่ตี้ขมวดคิ้ว
“ในบันทึกประวัติ!” ความโกรธที่ซ่อนเอาไว้ยังคงกรุ่นออกมาอย่างต่อเนื่อง
“เขาเขียนบันทึกของช่วงเวลานี้ แล้วท่านไปรู้มาได้อย่างไร” ในหอไท่สื่อเก็บบันทึกของยุคนี้เอาไว้ ถือเป็นบันทึกลับสุดยอด ไม่แปลกที่หยวนสี่ตี้จะนึกสงสัย
ฉืออิ๋งตระหนกในทันที นางถึงกับลืมกำชับบิดาว่าอย่ากล่าวพาดพิงมาถึงตัวนาง