เฟิ่งจวินเอ่ยโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิด “ข้าได้ยินมาว่าไป๋สิงเจี่ยนบันทึกชื่อข้าลงในประวัติขุนนางสอพลอ กล่าวหาว่าข้าทำเสน่ห์ต่อจักรพรรดินี แล้วอย่างนี้ถวนถวนในวันหน้าจะทำตัวเช่นไร ฝ่าบาทต้องให้ความเป็นธรรมกับพวกเราสองพ่อลูกด้วย!”
ฉืออิ๋งถึงกับโล่งอก บิดาฉลาดเกินคนจริงๆ ควรค่าแก่การยกย่อง
“เจ้าไป๋สิงเจี่ยนผู้นี้ถึงกับทำบันทึกรั่วไหล ต้องได้รับโทษสถานใด!” หยวนสี่ตี้คิดได้ว่าพวกเขาจับจุดสำคัญของเรื่องราวนี้ผิดมหันต์
เฟิ่งจวินและฉืออิ๋งต่างเอ่ยขึ้นมาพร้อมกัน “จุดสำคัญไม่ใช่ประวัติขุนนางสอพลอหรือ!”
ระหว่างที่ทั้งสามกำลังถกกันว่าอะไรคือ ‘จุดสำคัญ’ อยู่นั้น นางกำนัลก็แจ้งมาจากหน้าประตูว่า “หัวหน้าสำนักตรวจการหลูฉี่ขอเข้าเฝ้าเพคะ!”
“ค่ำขนาดนี้แล้วยังจะมาทำอะไรอีก เรียกเขาเข้ามา!” หยวนสี่ตี้หยุดโต้เถียงกันเป็นการชั่วคราว แล้วให้สามีกับบุตรสาวที่มาร้องขอความเป็นธรรมหลบไปอยู่ที่ข้างหลัง
ฉืออิ๋งหลบไปอยู่หลังฉากบังลม แล้วฟังหัวหน้าสำนักตรวจการเข้าเฝ้า “ฝ่าบาท กระหม่อมมารบกวนตอนค่ำเช่นนี้เพราะสถานการณ์บังคับจริงๆ กระทั่งเสื้อผ้าก็ยังไม่ทันเปลี่ยน เนื่องจากกระหม่อมพบว่าไท่สื่อไป๋สิงเจี่ยนกระทำผิดต่อหน้าที่ด้วยการรับสินบน บันทึกเรื่องราวอย่างไม่เป็นธรรม ตัดสินความไม่เข้มงวด มีหลักฐานชัดแจ้งแล้ว ขอฝ่าบาททรงโปรดพิจารณาด้วย”
หัวหน้าสำนักตรวจการหลูฉี่ไม่ได้แต่งกายด้วยชุดทางการ เขารีบเร่งเข้าวังมาจนเหงื่อไหลเต็มหน้าผาก ก่อนจะคำนับอยู่เบื้องหน้าโต๊ะของจักรพรรดินีพร้อมทูลถวายฎีกา ด้วยเป็นถึงผู้นำของสำนักตรวจการ เขาย่อมเชี่ยวชาญกฎหมายอย่างทะลุปรุโปร่ง ท่องขึ้นหน้าและย้อนหลังได้อย่างคล่องแคล่ว ทั้งยังเคยเขียนขยายความมาแล้วหลายเล่ม เขาจึงสามารถวิเคราะห์รายละเอียดบทลงโทษของไป๋สิงเจี่ยนตามข้อกล่าวหาที่ระบุไว้ในกฎหมายจนครบถ้วนแล้ว
ที่ผ่านมาเรื่องที่สำนักตรวจการโจมตีหลันไถนั้นมีความสำเร็จน้อยมาก ในที่สุดก็สามารถหาเรื่องร้องเรียนรุนแรงได้เสียที การเล่นงานของขุนนางรับตำแหน่งใหม่รอบที่หนึ่งกำลังจะเริ่มขึ้น ถึงอย่างนั้นเขาก็ต้องข่มความตื่นเต้นในใจเอาไว้ แล้วรอฟังเสียงสวรรค์ตรงหน้า
หยวนสี่ตี้พลิกอ่านฎีกาของหลูฉี่ พออ่านไปแล้วสีหน้าก็ไม่ดียิ่ง หลูฉี่เฝ้าสังเกตสีหน้าของจักรพรรดินี ในใจก็คิดไปว่า…ทุกสิ่งเป็นไปตามที่ข้าคาดหมายแล้ว
“หลูฉี่ เจ้าถวายฎีกาฉบับที่ร่างผิดๆ มาให้เราหรือ” หยวนสี่ตี้หยิบพู่กันขึ้นมาวงตัวอักษรในฎีกาที่เขียนผิดอยู่เป็นจำนวนมาก
หลูฉี่พลันแข็งทื่อไป ก่อนได้สติรีบร้อนอธิบาย “ตอนที่กระหม่อมเขียนฎีกา อารมณ์ของกระหม่อมร้อนรนจนไม่มีเวลาพอให้ลอกฉบับใหม่ขึ้นมาพ่ะย่ะค่ะ”
หยวนสี่ตี้ปิดฎีกาก่อนจะโยนไปให้หลูฉี่ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็คัดลอกใหม่มาหนึ่งชุดก่อนสิ เราอ่านฉบับนี้แล้วปวดตายิ่งนัก”
หลูฉี่ไม่คิดว่าจักรพรรดินีผู้นี้จะเป็นคนรักความถูกต้องของตัวอักษรยิ่งนัก ช่างแตกต่างกับที่ผู้คนพูดๆ กันมา เนื่องจากในหมู่ขุนนางต่างพากันนินทาลับหลังว่าจักรพรรดินีเคยตกยากอยู่ท่ามกลางสามัญชน ไม่ได้เล่าเรียนหนังสือมากนัก ต่อให้ไท่ฟู่ของจักรพรรดินีจะคือคุณชายของสกุลเจียงแห่งซีจิงก็ตาม ซึ่งแม้คนหลังจะมีความรู้ดีมากเพียงใด ทว่าในเวลาต่อมาสองคนนี้ก็แสนจะไม่เอาไหนอย่างยิ่งมิใช่หรือ จะมีเวลาเล่าเรียนหนังสือรึ ถึงขั้นมีคนกล่าวว่าจักรพรรดินีเป็นคนไม่รู้หนังสือเสียด้วยซ้ำ ข่าวลือนี้ช่างให้ร้ายคนแล้ว!