ฉืออิ๋งจงใจออกจากประตูหลังของสำนักตรวจการ อาศัยต้นไป่เป็นที่กำบัง จงใจเดินกลับไปกลับมารอบหนึ่ง แล้วถึงค่อยเดินตรงไปที่ประตูใหญ่หลันไถ นางเชื่อมั่นอย่างมากว่าในตรอกยามนั้นไม่มีเงาคนอยู่เลยสักคน อย่างไรก็เป็นเส้นแบ่งดินแดนของหลันไถกับสำนักตรวจการ คนทั่วไปที่ใจไม่กล้าพอล้วนไม่มาเดินเที่ยวเล่นในสถานที่อ่อนไหวเช่นนี้แน่
ยิ่งกว่านั้นตอนที่ออกจากหลันไถ นางก็ได้ทำตามที่นัดหมายไว้กับหลูฉี่ หักกิ่งไม้เป็นสัญลักษณ์ แค่เรื่องเล็กน้อยอย่างการเด็ดดอกกล้วยไม้ก็ยังถูกไป๋สิงเจี่ยนตรวจพบอีก แล้วยังจงใจมาฟ้องเรื่องไม่ดีต่อหน้าจักรพรรดินีด้วย ทางเดินสายนี้ช่างไม่ดีเอาเสียเลย ใครจะมาเชื่อถือนางอีกเล่า
ฉืออิ๋งรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงสายตาตำหนิติเตียนของมารดาที่มองมาทางนาง ที่จริงก็เริ่มรู้สึกเจ็บที่หลังขึ้นมาแล้ว ถึงอย่างนั้นฉืออิ๋งก็ยังไม่ยอมแพ้ ยังคงดิ้นรนต่อ “ข้าเลิกเรียนแล้วก็คิดไปเยี่ยมอาจารย์ที่หลันไถ พวกท่านก็รู้นี่ว่าข้ารักสบายเพียงใด จึงคิดหาทางลัดที่ไปหลันไถ ข้าเองก็เพียงแค่ผ่านนอกกำแพงสำนักตรวจการเท่านั้น ไม่ได้เข้าไปข้างในจริงๆ อาจารย์ต้องเข้าใจข้าผิดแน่นอน”
ฉืออิ๋งใช้น้ำเสียงที่ถูกปรักปรำและท่าทางไร้เดียงสาในการบอกกล่าว กระทั่งหยวนสี่ตี้ก็ยังเห็นว่ามีโอกาสที่เรื่องนี้จะเป็นการเข้าใจผิด อันที่จริงไท่สื่อก็มีข้อขัดแย้งกับรัชทายาทมาก่อน
คนที่รู้ความเป็นจริงของเรื่องราวอย่างหลูฉี่ เมื่อเฝ้ามองฉืออิ๋งแก้ต่างให้ตัวเองเช่นนี้แล้ว เขายังเกือบหลงเชื่อตามไปด้วยเลย
ไป๋สิงเจี่ยนเอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้านใดๆ “อาจเป็นกระหม่อมที่ดูผิดไป ตอนองค์หญิงเสด็จมาถึงหลันไถ จึงได้เห็นว่าบนเส้นพระเกศาขององค์หญิงมีเกสรของต้นไป่ติดอยู่ และหลายวันมานี้ต้นไป่ที่ออกดอกอยู่ก็มีเพียงต้นเก่าแก่ที่อยู่ทางด้านในกำแพงสำนักตรวจการเท่านั้น”
หลูฉี่เอ่ยค่อนขอดอยู่ในใจ…นี่เจ้ายังรู้จักสำนักตรวจการดีกว่าข้าเสียอีก กระทั่งต้นไหนออกดอกบ้างก็ยังรู้ ช่างสมกับเป็นคู่แค้นเก่าจริงๆ ทุกวันคงเอาแต่จับจ้องสำนักตรวจการของพวกข้า แม้แต่ต้นไม้ออกดอกก็ยังไม่เว้น น่าแค้นใจนักที่ข้าไม่รู้ชนิดของดอกกล้วยไม้ที่หลันไถเลย ไม่ได้การแล้ว กลับไปต้องส่งคนไปตรวจสอบเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ให้ชัดเจน!
ฉืออิ๋งตกตะลึงไปทันใด นางโต้แย้งทันที “แล้วจะไม่มีลมพัดดอกไม้จนปลิวจากด้านในออกไปด้านนอกเชียวหรือ”
ไป๋สิงเจี่ยนยังคงเอ่ยด้วยท่าทางที่สุขุมยิ่ง “วันนี้ตอนยามซื่อถึงยามอู่มีลมเหนือพัดมา สำนักตรวจการตั้งอยู่ทางทิศใต้ ทิศทางลมจึงพัดจากด้านนอกเข้าไปหาด้านใน”
ฉืออิ๋งอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก นางคิดไม่ถึงว่าวันนี้ตนเองจะถูกบีบอยู่ในมือของไป๋สิงเจี่ยนเพียงเพราะเกสรดอกไม้เล็กๆ
หลูฉี่ก็แสดงสีหน้าให้เห็นว่า ‘ขอโทษที่กระหม่อมช่วยเหลือท่านไม่ได้’ ออกมา
ฉืออิ๋งเลิกดิ้นรนต่อไป นางหันไปทางหยวนสี่ตี้เตรียมร้องไห้ยอมรับผิด “เสด็จแม่…”
น้ำเสียงเศร้าพลันถูกไป๋สิงเจี่ยนตัดบททันใด “แต่หากมีหมู่ภมรไปเกาะเกสรดอกไม้บ่อยครั้ง ก็อาจเป็นไปได้ว่าหมู่ภมรเหล่านั้นจะขยันขันแข็ง นำพาเกสรด้านในกำแพงออกมาที่นอกกำแพง”
ฉืออิ๋งกลั้นน้ำตาไว้ทันใด “ไม่ผิด! เป็นเช่นนี้จริงๆ!”
ไป๋สิงเจี่ยนยังคงเอ่ยขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง “ทว่าภายใต้สถานการณ์ที่น่าสงสัยนี้ ก็ยังบอกได้ไม่ชัดเจนว่า มาจากทางใดกันแน่ ยังต้องแยกแยะให้ชัดเจน”
“อาจารย์กล่าวได้ถูกต้อง” ฉืออิ๋งก้มใบหน้าลง ดวงตาจ้องตรงไปที่ขาสองข้างภายใต้เสื้อผ้าของไป๋สิงเจี่ยน…เจ้าคนเลือดเย็นมากเล่ห์ เจ้าคงถูกสวรรค์ลงโทษสินะ ขาจึงพิการทั้งสองข้าง
ฉืออิ๋งที่อกสั่นขวัญแขวนพลันรอดพ้นจากโทษหนัก