ฉืออิ๋งพี่น้องสองคนเคยร่วมชั้นเรียนเดียวกันที่สำนักศึกษาเจาเหวิน ทั้งสองทำตัวเป็นหัวหน้าห้อง ร่วมกันรังแกข่มเหงสหายร่วมชั้นเรียน ทำให้อาจารย์โกรธจนเตลิดหนีไปหมด ทำท่าวางโตอยู่ได้หลายปี จนถึงตอนที่โต้วเปาเอ๋อร์ยังไม่สิบสามปีเต็มก็ถูกส่งไปรับการอบรมที่ซีจิง เข้าเรียนในชั้นเรียนของลูกหลานที่มีฐานะของสกุลเจียง หล่อหลอมมาเป็นเวลาแรมปี ถึงตอนนี้จึงได้รับอนุญาตจากประมุขสกุลเจียง…พี่ชายคนโตของเฟิ่งจวิน…ท่านลุงใหญ่ของโต้วเปาเอ๋อร์ให้หยุดเรียนได้สองเดือน กลับเมืองหลวงมาเยี่ยมญาติ
ที่จริงแล้วเฟิ่งจวินได้รับจดหมายจากพี่ใหญ่มาสองฉบับ
ฉบับหนึ่งใช้ภาษาทางการเปิดหัวว่า ‘ทูลฝ่าบาทและเฟิ่งจวิน’ เนื้อความที่เขียนกล่าวว่า…
‘ไม่เสียความตั้งใจที่พระองค์ทรงสั่งสอนองค์ชายมาเป็นอย่างดี ตอนนี้มีความสำเร็จให้เห็นบ้างแล้ว สมควรเสด็จกลับวังเยี่ยมญาติได้เสียที จึงได้จัดทหารรับใช้สามพันนายอารักขามาเช่นนี้’
อีกฉบับเปิดหัวเป็นภาษาธรรมดาว่า ‘น้องผู้น่าอิจฉาของข้า’ เนื้อความมีเช่นนี้…
‘เจ้าลูกหัวแข็งของเจ้าทำอาจารย์ในสกุลเจียงของข้าเจ็ดแปดคนโกรธจนหนีเตลิดไปหมด หากไม่ใช่ว่าข้าตอบแทนอย่างหนักและเอ่ยขออภัยแทน เกรงว่าฎีกาที่เหล่าอาจารย์อาวุโสร่วมกันลงชื่อคงถึงเมืองหลวงนานแล้ว แต่เจ้าวางใจได้ ฎีกาฉบับนั้นถูกสกุลเจียงแห่งซีจิงของข้าทุ่มเงินซื้อมาทำลายไปแล้ว พวกอาจารย์อาวุโสต่างก็ยอมถอย จะทำอย่างไรได้เล่า ท่านปู่เห็นเจ้าลูกหัวแข็งของเจ้าประดุจดวงใจล้ำค่า ตามใจจนเสียคน ไม่ยอมให้พวกข้าว่ากล่าวสักคำ ครั้งก่อนข้าเผลอกล่าวสอนไปสองคำโดยไม่ทันระวังก็ถูกท่านปู่ลงมืออย่างโหดเหี้ยม ไล่ตีข้าไปถึงครึ่งเมืองซีจิง เป็นเพราะร่างกายท่านปู่ไม่ไหวแล้วจึงได้เลิกตาม แต่ว่าเจ้าไม่ต้องเป็นกังวล สุดท้ายเป็นข้าที่ยอมรับผิดขออภัย จึงระบายความโกรธของท่านปู่ได้
ระบายความทุกข์ในใจมามากแล้ว ที่จริงก็ไม่มีอะไรแย่กว่านี้หรอก เจ้าก็ไม่ต้องว่ากล่าวเขาอีก มิเช่นนั้นต่อให้ห่างกันเป็นพันหลี่* ท่านปู่ก็ไม่ให้อภัยเจ้าแน่ ลูกเจ้าเองก็คิดถึงพ่อแม่มาก อยากกลับวังเต็มทีแล้ว ปีแรกก็ขออนุญาตข้าลาเรียนแล้ว แต่ข้ายังไม่อนุญาต มาถึงครึ่งปีหลังเขาดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาก ความรู้ก็ก้าวหน้าไม่น้อย ค่อยวางตัวตามแบบอย่างลูกหลานของสกุลเจียงข้าหน่อย ขอแต่ว่าอย่าเป็นแค่การเสแสร้งก็แล้วกัน พอก่อน ขอบ่นแต่เพียงเท่านี้ ส่งลูกเจ้ากลับคืนให้เจ้า ส่วนเรื่องที่เหลือเจ้าก็รับไปเองแล้วกัน’
ฉบับที่สองเป็นจดหมายส่วนตัว เกี่ยวพันถึงหน้าตาของสกุลเจียง เฟิ่งจวินจึงไม่ยอมให้หยวนสี่ตี้ได้อ่าน…เฟิ่งจวินใช้จดหมายปิดใบหน้าอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะพับเก็บไว้อย่างดี แล้ววิ่งไปปรึกษากับหยวนสี่ตี้ถึงเรื่องพระราชทานยศแก่โต้วเปาเอ๋อร์ โต้วเปาเอ๋อร์เริ่มโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ทว่ายังไม่ได้แต่งตั้งเขาอย่างเป็นทางการเลย ทั้งสองจึงคิดใช้โอกาสที่โต้วเปาเอ๋อร์กลับมาเมืองหลวงในครั้งนี้ทำเรื่องแต่งตั้งนี้ให้เป็นเสร็จสิ้น รอโต้วเปาเอ๋อร์กลับไปที่ซีจิงอีกครั้ง ยามบุตรชายไปเรียนรู้การสืบทอดกิจการของสกุลเจียง ฐานะของเขาก็นับว่าสูงส่ง
เพราะต้าอิ่นยึดถือการปฏิบัติว่าจะให้สตรีเป็นจักรพรรดินี ในเมื่อหยวนสี่ตี้มีบุตรชายบุตรสาวอย่างละคน นางจึงให้บุตรสาวสืบทอดตำแหน่งจักรพรรดินี แล้วใช้แซ่ตามมารดา ขณะที่บุตรชายก็รับช่วงดูแลสกุลเจียงที่ซีจิง และใช้แซ่ตามบิดา ดังนั้นโต้วเปาเอ๋อร์จึงถูกส่งไปอบรมที่ซีจิง
ระยะนี้กรมพิธีการกำลังยุ่งอยู่กับเรื่องแต่งตั้งองค์ชาย
ทว่ากับองค์หญิงที่เป็นถึงรัชทายาทนั้น กำลังเฝ้ารอน้องชายร่วมสายโลหิตที่จากกันมานาน นางกับน้องชายจะสามารถจับกันเป็นคู่ได้อีกครั้ง นี่เป็นเรื่องที่คุ้มสมการรอคอยจริงๆ อีกอย่างโต้วเปาเอ๋อร์จะต้องเอาของเล่นแปลกใหม่มากมายมาฝากนางแน่นอน
“องค์หญิง ได้ยินว่าองค์ชายจะเสด็จกลับเมืองหลวงมาแล้วหรือ” ในสำนักศึกษาเจาเหวิน บุตรชายเสนาบดีกรมอาญาจั่นคุนเผิงกำลังก้มหน้าก้มตาลอกการบ้านของฉืออิ๋งสุดชีวิต แต่ก็ยังหาโอกาสเอ่ยนินทาไปด้วย
“เจ้าก็ได้ยินมาด้วย? ไม่รู้ว่าโต้วเปาเอ๋อร์จะเอาของเล่นอะไรมาฝากข้าบ้าง” ฉืออิ๋งเอนร่างพิงกับพนักเก้าอี้ กำหมัดแตะคาง นั่งไขว้ขา พู่สีแดงที่ปักบนรองเท้าคู่เล็กสั่นไหวตามเท้าที่แกว่งไปมา ชายกระโปรงเลิกขึ้นมาแล้วก็ไม่ทันได้ใส่ใจ
“บิดาของกระหม่อมบอกมา เขายังบอกอีกว่ากรมพิธีการกำลังจัดเตรียมเรื่องนี้” จั่นคุนเผิงหยุดพูดไปทันใด เขาเพ่งมองอักษรตรงหน้า “องค์หญิงนี่คือตัวอักษรอะไรกัน ไม่เหมือนกับที่ท่านเคยเขียนเลย” จั่นคุนเผิงผู้สนใจในความรู้บ้างนั้น ยามที่ลอกถึงอักษรที่ตนเองไม่รู้จัก จำต้องถามให้เข้าใจเสียหน่อย
ฉืออิ๋งเอี้ยวตัวมาหยิบสมุดการบ้านบนโต๊ะกลับหัวมาดูแล้วขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น “เสด็จพ่อทรงคิดทำให้ง่ายขึ้น จึงเขียนเป็นตัวอักษรหวัด ทว่าข้าเองก็ไม่รู้ว่าเป็นตัวอักษรอะไร!”
จั่นคุนเผิงดูแล้วดูอีก ก่อนใช้มือป้องที่ข้างปากเอ่ยเสียงเบา “ครั้งก่อนอาจารย์ก็จับเรื่องที่เฟิ่งจวินทรงทำการบ้านให้องค์หญิงได้แล้ว หากถูกอาจารย์จับได้อีก…”
“จับได้ข้าก็ไม่ยอมรับ เสด็จพ่อก็ไม่ทรงยอมรับ!” ฉืออิ๋งมองใบหน้าจั่นคุนเผิง พลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ใช่แล้ว เสี่ยวจั่น เจ้าได้ยินพ่อเจ้าพูดถึงเรื่องที่มีเจ้าหน้าที่ของหลันไถไปมอบตัวรับผิดเมื่อเร็วๆ นี้บ้างหรือเปล่า”