บทที่ 5
บนโต๊ะมีกองฎีกาสูงเท่าศีรษะ เฟิ่งจวินทยอยอ่านและลงความเห็นไม่ได้หยุด ทุกความเห็นล้วนเฉียบขาด กระทั่งสะสางฎีกาเสร็จไปกว่าสิบฉบับแล้ว หมึกบนกระดาษของฎีกาฉบับแรกๆ ก็ยังไม่แห้งเลย
ช่วงเวลาที่รายงานแต่ละเล่มถูกเลื่อนออกไปรอให้หมึกแห้งนั้น เฟิ่งจวินก็จะหยิบการบ้านจากสำนักศึกษาเจาเหวินออกมาจากใต้กองฎีกาเพื่อเปิดอ่านหัวข้อเรื่อง ฉับพลันหัวข้อประวัติศาสตร์ศึกษาเรื่องหนึ่งก็กระทบเข้าตา เป็นหัวข้อที่ฉืออิ๋งลอกมาจากอาจารย์ที่ห้องเรียน หัวข้อเรื่องคือ…พูดถึงข้อดีข้อเสียของการอภิเษกของราชวงศ์ที่มีผลกระทบต่อพระคลังของอาณาจักรตั้งแต่โบราณมา ข้อกำหนดคือมีไม่น้อยกว่าห้าพันตัวอักษร
เฟิ่งจวินรู้สึกเหมือนถูกยิงธนูเข้าที่หัวเข่าหนึ่งดอก หัวข้อนี้มิใช่ตั้งขึ้นเพื่อฉืออิ๋งเป็นแน่ เป็นหัวข้อที่ตั้งขึ้นมาเพื่อบิดาของนาง?
ผู้ที่ตั้งหัวข้อคืออาจารย์ ผู้เขียนตอบคือเฟิ่งจวิน ฉืออิ๋งเป็นเพียงผู้ส่งสารกับเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง ไม่ว่ามีการบ้านหรือไม่ ผู้ส่งสารก็ยังคงลอยตัวได้เสมอ ซึ่งตอนนี้นางก็กำลังนอนอยู่บนตั่งที่อ่อนนุ่ม ประเดี๋ยวก็นอนขวางประเดี๋ยวก็นอนยาว โดยนอนหลับไปพร้อมกับแมวของเฟิ่งจวิน แมวตัวนั้นก็ชื่อ ‘ถวนถวน’ เหมือนฉืออิ๋ง ทั้งอายุยังมากกว่าฉืออิ๋งด้วยซ้ำไป
ตอนนี้เป็นเวลานอนพักกลางวันของฉืออิ๋ง ต่อให้มีฟ้าผ่าลงมานางก็ไม่ตื่น เนื่องจากเป็นการนอนหลับที่ไม่เหมือนใคร จึงต้องสร้างตั่งขึ้นอย่างพิเศษ ขอบนอกของตั่งต้องมีราวกั้น และแน่นอนราวกั้นต้องไม่แข็ง จึงใช้ไม้สนที่พันด้วยไยสำลีแล้วหุ้มด้วยผ้าต่วนอีกที ฉืออิ๋งนอนดิ้นไปทั่ว ยามนี้ขาข้างหนึ่งจึงก่ายอยู่บนราวกั้น มือข้างหนึ่งโอบกอดแมวไว้ มุมปากก็มีคราบน้ำลายอยู่
ทางด้านขวามือของเฟิ่งจวินมีโต๊ะกลมตั้งอยู่ หยวนสี่ตี้กำลังอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง มือถือพู่กันจุ่มหมึกคอยจดบันทึก ทว่าหากถอดปกนอกที่เขียนว่า ‘กษัตริย์และการปกครอง’ ออกก็จะเห็นปกในว่า ‘รวมอาหารอร่อยจิ่วโจว’ เนื้อหาภายในครอบคลุม ‘อาหารรสเลิศ’ ‘คัมภีร์อาหาร’ ‘วิถีแห่งการกิน’ ‘รอบรู้เรื่องอาหาร’ เป็นต้น ถือว่าเป็นสารานุกรมเกี่ยวกับอาหารเล่มหนึ่ง เป็นของล้ำค่าที่รวบรวมได้มาใหม่ของฝ่าบาท
ยามที่จักรพรรดินีกำลังอ่านตำราอาหาร หากไม่มีเรื่องเร่งด่วนอะไรก็ห้ามรบกวน เนื่องจากนางจะลุ่มหลงอยู่ในความเย้ายวนของอาหารอย่างถอนตัวไม่ขึ้น ดังนั้นเฟิ่งจวินจึงใช้เวลาว่างจากการตรวจฎีกามาทำการบ้านแทนฉืออิ๋งได้อย่างอิสระ เขาเตรียมพู่กันเพื่อจะเขียนเรื่องการอภิเษกของราชวงศ์และพระคลังของอาณาจักร นี่ต้องเป็นเจ้าไป๋สิงเจี่ยนที่ตั้งใจเจาะจงมาที่ข้าแน่ ต้องใช่เป็นแน่
เฟิ่งจวินคิดในใจว่า…ข้าจะใช้คำโบราณจากตำราสะท้อนแสงให้เจ้าอาลักษณ์ตาบอดนั่นอ่านเลย บังอาจมาใช้วิธีกายอกย้อนเพื่อเสียดสีข้า! ห้าพันตัวอักษรจะเท่าไรกันเชียว ห้าหมื่นตัวอักษรก็มิใช่ปัญหา ในปีนั้นที่ข้าแต่งให้กับฝ่าบาท เคยเขียนบทความการปฏิรูปภาษี ‘ว่าด้วยเกลือและเหล็ก’ เพื่อเป็นสินสอด ถึงได้สมหวังตามที่ตั้งใจเอาไว้ แม้จะมีคนนอกพูดกันไปว่าข้าใช้วิธีที่น่าอาย แต่สรุปคือต่อให้เป็นแสนตัวอักษรข้าก็มีปัญญาเขียนได้ นี่มิใช่เรื่องที่อาลักษณ์เช่นเจ้าจะกระทำได้!
ภายในตำหนักยงหวา…ได้ยินเพียงเสียงน้ำลายสอในปาก…เสียงปลายพู่กันของเฟิ่งจวิน…เสียงลมหายใจสม่ำเสมอของฉืออิ๋ง รวมกันกลายเป็นเสียงที่ฟังแล้วกลมกลืน ในยามนั้นก็มีนางกำนัลเข้ามาแจ้งว่า
“ฝ่าบาท เฟิ่งจวิน องค์หญิง องค์ชายกลับมาแล้วเพคะ”
รอบแรกยังไม่มีคนรับรู้ นางกำนัลจึงใช้น้ำเสียงที่ดังขึ้นกว่าเดิม เอ่ยขึ้นอีกรอบ
ครั้งนี้จึงค่อยเห็นผล เฟิ่งจวินหยุดเขียนพลางเงยหน้าขึ้น “หืม เร็วปานนี้? บอกไปว่าพวกข้ากำลังยุ่งกันอยู่ ให้เขามาเข้าเฝ้าเอง”
โต้วเปาเอ๋อร์เดินเร็วมาที่ตำหนักยงหวา เมื่อเห็นว่ามารดาไม่ว่างมาพบหน้าเขา พี่สาวก็หลับใหลไป มีเพียงบิดาที่นั่งรอเขาอยู่ที่หลังโต๊ะ
“ลูกคาราวะเสด็จแม่ เสด็จพ่อ พระวรกายของเสด็จแม่กับเสด็จพ่อทรงแข็งแรงดีหรือไม่” องค์ชายแสดงการคำนับอย่างเต็มพิธี ก้าวย่าง…ยกเสื้อขึ้น…คุกเข่า…คำนับ ทุกสิ่งล้วนดูไหลลื่นเป็นธรรมชาติ มือกับเท้าล้วนเป็นไปตามสิ่งที่กำหนด…หาใช่เด็กน้อยหัวแข็งที่จากเมืองหลวงไปในปีนั้น