ความที่เป็นปีศาจก่อความวุ่นวายให้แก่ใต้หล้าเหมือนกันแท้ๆ ทว่าขณะที่ฉืออิ๋งอยู่ในสถานที่ที่ผ่อนปรนต่อความเอาแต่ใจมาอย่างต่อเนื่อง โต้วเปาเอ๋อร์กลับต้องโดนไม้แข็งดัดนิสัย เขาจำเป็นต้องเรียนรู้กฎธรรมเนียมและมารยาทของชนชั้นสูง กฎเกณฑ์ทั้งหมดรวมถึงเรื่องของการกินข้าว นอนหลับ ย่างก้าว และพูดจา อีกทั้งยังต้องเรียนความรู้ขั้นสูงที่คนส่วนใหญ่ในรุ่นเดียวกันเกือบทั้งหมดไม่คิดเรียน
ตัวอย่างเช่น ขณะที่คนรุ่นราวคราวเดียวกันล้วนแต่ท่องจำ ‘คัมภีร์หลุนอวี่’ ทว่าอาจารย์ที่สอนเขากลับร้องขอให้เหล่าศิษย์ผู้เป็นลูกหลานของตระกูลใหญ่วิเคราะห์การแย่งชิงอำนาจที่เป็นฉากหลังในสมัยนั้นจาก ‘คัมภีร์หลุนอวี่’ ผู้เรียนได้เรียนรู้อะไรจากคำสอนเหล่านั้นเพื่อไม่ให้บ้านเมืองเกิดความวุ่นวายเหมือนที่ผ่านมา
การศึกษาของตระกูลที่อยู่มาเป็นร้อยปีเทียบกันแล้วย่อมยากกว่าสำนักศึกษาเจาเหวินหลายเท่า เมื่อตอนที่เขาเริ่มเรียนในชั้นเรียนที่ตระกูลจัดให้โต้วเปาเอ๋อร์ฟังที่อาจารย์สอนไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย หากให้ฉืออิ๋งที่อยู่ระดับต้นๆ ของสำนักศึกษาเจาเหวินไปถึงซีจิง เทียบกับลูกหลานของตระกูลใหญ่แล้ว ในเวลาอันสั้นนางต้องถูกลดเป็นเพียงผู้เรียนทั่วไปแน่
ที่จริงเฟิ่งจวินก็คิดให้ฉืออิ๋งมาแบ่งเบาภาระแต่แรก แต่เป่าเปาในสายตาของเขาอย่างไรก็ยังเป็นเป่าเปา เขาไม่อาจทนเห็นบุตรสาวที่รักยิ่งต้องเหน็ดเหนื่อยเพียงนั้นได้ แม้แต่การบ้านเขายังกลัวว่านางจะเหนื่อยเลย ย่อมมิต้องกล่าวถึงการแบ่งเบาภาระของอาณาจักร บุตรสาวเป็นดังของวิเศษในมือ ต้องเอาไว้รักใคร่ในอุ้งมือเท่านั้น ต่อให้นางกลายเป็นรัชทายาท และเป็นจักรพรรดินีของราชสำนักในอนาคต บุตรชายก็ต้องสืบทอดกิจการของที่บ้าน หากไม่ฝึกหนักก็ไม่อาจกลายเป็นคนที่ทำอะไรสำเร็จได้
ยิ่งนึกเฟิ่งจวินก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองลำเอียงอย่างเห็นได้ชัด เขาจึงเปลี่ยนเรื่องเสีย “มู่จือ ครั้งนี้เจ้ากลับเมืองหลวงมา ทางกรมพิธีการกำลังจัดเตรียมพิธีการแต่งตั้งตำแหน่งเซียงอ๋องให้แก่เจ้า หลายวันนี้ให้ระมัดระวังความคิด คำพูด และการกระทำให้ดี อย่าให้ผู้อื่นครหาเอาได้ หากปล่อยให้ผู้อื่นวิพากษ์วิจารณ์ ไม่ว่าจะจริงหรือไม่ก็ล้วนมีผลกระทบต่อการแต่งตั้งทั้งสิ้น”
มู่จือ…ชื่อของโต้วเปาเอ๋อร์ เจียงมู่จือ…ใช้แซ่ตามบิดา
“ลูกจะจดจำไว้ให้มั่นพ่ะย่ะค่ะ” โต้วเปาเอ๋อร์รู้ซึ้งถึงนิสัยของบิดาดี ว่าบิดานั้นไม่อาจต้านทานต่อเรื่องน่ารักหรือสวยงามได้ เช่นท่านแม่ในอดีต หรือตัวฉืออิ๋ง พี่สาวจะแสดงท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูต่อหน้าบิดาได้ช่ำชองอย่างมาก ทำให้บิดาพึงพอใจยิ่ง เมื่อเอาเขาไปเทียบกับพี่สาวแล้ว ตัวเขาย่อมไม่สามารถจะท้าสู้ได้เลย จึงขอยอมแพ้ดีกว่า
โต้วเปาเอ๋อร์นำขนมวุ้นดอกสาลี่ซึ่งเป็นขนมขื้นชื่อของซีจิงกลับมาด้วย และขนมนี้ก็ทำให้หยวนสี่ตี้รู้สึกได้ถึงการมีอยู่ของเขาในตอนนี้
“อ้าว ลูกชายของข้า!” หยวนสี่ตี้ยกมือลูบไล้ไปที่ใบหน้าของโต้วเปาเอ๋อร์พลางขมวดคิ้ว “เหตุใดถึงผอมลงเล่า ที่ซีจิงเลี้ยงดูลูกข้าให้อดอยากหรือ ผอมเช่นนี้จะหาเจ้าสาวได้อย่างไรกัน”
จักรพรรดินีช่างให้ค่าความงามอย่างบิดเบือนจากความจริง
“แต่งเจ้าสาว?” เฟิ่งจวินได้ยินเรื่องที่รับไม่ได้จึงเอ่ยคัดค้าน “คนหนุ่มที่อายุยังไม่เต็มยี่สิบไม่อนุญาตให้แต่งเจ้าสาว!”
โต้วเปาเอ๋อร์ลอบนับนิ้วมือ พลางทอดถอนใจเงียบๆ ว่า…ยังมีเวลาดีๆ เหลืออยู่หลายปี
ยามราตรี ฉืออิ๋งก็หยิบตะกร้อไฟที่โต้วเปาเอ๋อร์นำมาให้นางจากซีจิง ก่อนจะเข้าไปในอุทยานหลวงเพื่อลองของเล่นใหม่ ตะกร้อนี้ออกแบบมาได้ฉลาดยิ่ง ได้ยินว่าเป็นของเล่นชนิดใหม่ที่นิยมกันอย่างมากในซีจิง สามารถเตะหรือโยนเล่นก็ได้ โดยที่ตะเกียงข้างในจะไม่ดับ มันจะกลิ้งไปบนพื้นหญ้ายามค่ำคืน ส่องกระทบใบหญ้าทำให้สะท้อนแสงได้หลากสี
เรื่องจะเลือกซื้อของขวัญให้ฉืออิ๋งนั้น โต้วเปาเอ๋อร์แทบไม่ต้องคิดอะไรให้มากมายนัก ซีจิงกับเมืองหลวงห่างไกลกันพันหลี่ ความเป็นอยู่ของชาวบ้านย่อมแตกต่างกัน ของเล่นยิ่งไม่เหมือน สามารถเลือกเอาสักชิ้นที่เป็นของเล่นพิเศษที่มีในซีจิงได้ตามใจ เพียงแค่นี้ของเล่นชิ้นนั้นก็สามารถให้ความเพลิดเพลินแก่ฉืออิ๋งได้พักหนึ่ง ดังนั้นโต้วเปาเอ๋อร์จึงนำตะกร้อไฟกลับมาลูกหนึ่งและนิยายที่แพร่หลายในซีจิงอีกเล่มหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ฉืออิ๋งได้พลิกอ่านนิยายไปหลายหน้า ในเรื่องกล่าวถึงบุรุษหนุ่มที่ตระกูลล่มสลายผู้หนึ่ง เขาถูกคู่แค้นทรมานอย่างหนักจนตายไป แล้วก็ฟื้นกลับมาเกิดใหม่ บุรุษหนุ่มตั้งมั่นว่าจะชำระแค้นให้ได้ จู่ๆ สติปัญญาของเขาก็พลันขึ้นไปถึงขีดสูงสุด เขาต่อสู้กับคู่แค้น เดินย่ำไปบนซากศพมากมาย ในที่สุดก็ได้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของชีวิต