ฉืออิ๋งคล้ายถูกเหน็บแนมอย่างเจ็บแสบ ทว่าตามที่โต้วเปาเอ๋อร์พูดมา นี่ถือเป็นแนวเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไปของนิยายที่ตายแล้วเกิดใหม่ซึ่งแพร่หลายอย่างมากในซีจิง ทว่าเรื่องที่ใช้โครงเรื่องตายแล้วเกิดใหม่เช่นนี้ พอตัวละครนั้นเกิดใหม่แล้วสร้างชื่อเสียง ก็จะทำให้คนซื้อที่อ่านมัวแต่ไขว่คว้าหาสิ่งที่จับต้องไม่ได้ ไล่ตามสิ่งที่ยังไม่มีไปกันหมด ฉืออิ๋งไม่ชอบความรู้สึกเช่นนี้เลย ชีวิตคนจะประสบแต่เรื่องที่ดีเลิศจนไปถึงจุดสูงสุดอย่างนั้นได้หรือ ไปถึงจุดสูงสุดแล้วก็ต้องมีคนชั่วคิดร้ายต่อตนเองอีกสิ
ดังนั้นฉืออิ๋งจึงโยนนิยายเรื่องนั้นทิ้งไป นางอุ้มของเล่นวิ่งเข้าไปในอุทยานหลวง เนื่องจากโต้วเปาเอ๋อร์ถูกบิดารั้งตัวไว้เพื่อตรวจสอบความรู้ ฉืออิ๋งจึงต้องมาเล่นเองคนเดียว ยามที่เตะตะกร้อเล่น ฉืออิ๋งก็นึกไปว่าหากตนเองตายแล้วเกิดใหม่ จะต้องเที่ยวเล่นอย่างเพลิดเพลินให้ได้เป็นสองเท่า เพราะว่าทุกวันนี้นางยังเล่นสนุกได้ไม่เต็มอิ่มเลย
ท้องฟ้ามืด ในอุทยานหลวงยามค่ำแทบหาเงาคนไม่ได้ ฉืออิ๋งเล่นสนุกอย่างมีความสุข นางวิ่งตามตะกร้อไปเรื่อยๆ ยิ่งนานก็ยิ่งไกล ตะกร้อไฟกลิ้งไปบนพื้นหญ้าจนออกไปไกลจากจุดที่เริ่มเล่นในทีแรกอย่างมาก ก่อนหายเข้าไปในกลุ่มต้นไม้ ฉืออิ๋งตามเข้าไป ฉับพลันก็ได้ยินเสียงดังขึ้น
“เจ้าหนุ่มน้อยหน้าตาน่าเอ็นดู ยั่วยวนเสียจนไฟในกายข้าลุกโชนแล้ว เช่นนั้นก็แสดงท่าทางชายบำเรอของเจ้าออกมาเถิด หากปรนนิบัติถูกใจ ข้าจะตกรางวัลให้! ” เสียงของบุรุษผู้หนึ่งกำลังหอบหายใจหนัก
“ชายบำเรอ? น่าสนุกไม่น้อย แต่ต้องทำอย่างไรบ้างนั้น นายท่านคงต้องเป็นผู้สอนข้าแล้ว” น้ำเสียงอ่อนหวานของบุรุษหนุ่มกล่าวตอบอย่างยั่วเย้า
ฉืออิ๋งย่อตัวลงที่หลังต้นไม้พลางแอบมอง ยามค่ำในอุทยานหลวงกลับมีคนมาเกี้ยวพากันเช่นนี้ ใช่ดูอุกอาจเกินไปหรือไม่ ไม่รู้ว่าทั้งสองใช่พูดจาผิดหูแล้วจะตีกันหรือเปล่า เหตุใดพวกเขาจึงเหมือนพร้อมกระชากอาภรณ์เช่นนี้ ข้าสมควรออกไปห้ามศึกนี้ดีหรือไม่
ฉืออิ๋งโผล่ใบหน้าออกมา นางเห็นบุรุษสูงใหญ่ผู้หนึ่งยกบุรุษหนุ่มรูปร่างอ้อนแอ้นพิงหลังกับต้นไม้ใหญ่ ตั้งท่าจะฉีกอาภรณ์ท่อนล่างของบุรุษหนุ่มทิ้งไป ยามที่ไฟราคะกำลังลุกโหมรุนแรงอยู่นั้น จู่ๆ เท้าเขาก็เหยียบลื่นไถล “โอ๊ย! ใครเอากงล้อไฟนี่มาไว้ที่เท้าข้า ข้าไม่ใช่เทพเหนอจานะ!”
บุรุษหนุ่มที่ถูกยกติดกับต้นไม้เมื่อครู่นี้หันใบหน้าไปยังทิศทางที่มาของ ‘กงล้อไฟ’ ก่อนจะชี้นิ้วไปยังฉืออิ๋งซึ่งนั่งยองอยู่หลังพุ่มไม้ใกล้ๆ นี้ ใบหน้านางมีแต่ความงุนงง “นายท่าน ตรงนั้นมีสตรีกำลังมองพวกเราอยู่”
“ใครกัน?!” บุรุษผู้นั้นผละจากบุรุษหนุ่ม เขาก้าวเพียงไม่กี่ก้าวก็มาถึงต้นไม้ที่ฉืออิ๋งหลบอยู่ มือหนึ่งก็หิ้วคอเสื้อนางขึ้นมา อีกมือก็หยิบตะกร้อไฟบนพื้นขึ้นมา พลางยกส่องไปที่ใบหน้าของนาง ใบหน้าของบุรุษผู้นั้นพลันเปลี่ยนไปทันใด “ท่าน…ท่านคงไม่ใช่…”
จังหวะที่บุรุษผู้นั้นตกใจทำอะไรไม่ถูกก็เผลอปล่อยมือจากฉืออิ๋ง สองเท้าของนางพลันกระทบลงพื้น นางจึงยื่นสองมือไปรับตะกร้อไฟมาจากมือของบุรุษผู้นั้น “ขอบใจ ลาก่อน” ฉืออิ๋งหันตัวจะผละจากไป
“นางเป็นใครกัน” บุรุษหนุ่มเอ่ยถาม
“ระ…รัชทายาท…” บุรุษผู้นั้นเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“เจ้าโง่ แล้วเจ้าจะยังให้นางจากไปอีกหรือ ปล่อยนางไปเช่นนี้ เจ้าได้ตายแน่!”
“นี่…นี่กล่าวได้อย่างไร” บุรุษผู้อยู่ในภวังค์พลันตระหนก
“เจ้าเป็นถึงองครักษ์วังหลวง กลับล่อลวงคนของเฟิ่งจวิน เรื่องนี้ยังถูกรัชทายาทพบเห็นเข้าอีก เจ้ายังจะมีทางรอดหรือ!”
ฉืออิ๋งหันร่างกลับมา “อย่าไปฟังที่เขาพูด เขาพูดจาเหลวไหล เสด็จพ่อข้าไหนเลยจะมีชายบำเรอได้ อีกอย่างข้ากับเจ้าก็ต้องชะตากัน ข้าเองก็ไม่รู้ว่าพวกเจ้ากำลังทำอะไรกัน ดังนั้นข้าจะไม่เปิดโปงเจ้า ข้าจะกลับไปนอนให้สบาย ลาก่อน!”
เห็นชัดว่าบุรุษผู้เป็นองครักษ์หลวงหลงเชื่อคำของบุรุษหนุ่ม เพียงก้าวไม่กี่ก้าวก็ไล่ตามฉืออิ๋งทัน แล้วหิ้วตัวนางกลับมาอีกครั้งพลางเอ่ยถามบุรุษหนุ่มเสียงสั่น “จะ…จะจัดการนางเช่นไรดี เฟิ่งจวินทรงรักทะนุถนอมนางยิ่ง พวกเราจะต้องโทษหรือไม่”
“เจ้าโง่!” บุรุษหนุ่มสวมอาภรณ์ให้เรียบร้อยแล้วเดินมาหา ย่างก้าวล้วนอ้อนแอ้น ใบหน้างดงาม คิ้วตาเปี่ยมด้วยความยั่วยวนมากเสน่ห์ เขายกมือเกลี้ยงเกลาชี้ไปที่สระน้ำที่อยู่ท่ามกลางหมู่ต้นไม้ “รัชทายาทเดินเที่ยวยามค่ำคืนจนไม่ระวังพลัดตกไปในน้ำ เรื่องนี้ไม่ถือว่าเกี่ยวข้องอะไรกับพวกเรา” เพื่อไม่ประมาท บุรุษหนุ่มจึงหรี่ตามองฉืออิ๋ง “ท่านว่ายน้ำเป็นหรือไม่”
ฉืออิ๋งผงกศีรษะ “ต้องว่ายเป็นสิ ตัวข้าเป็นถึงรัชทายาท แน่นอนว่าต้องป้องกันไว้เผื่อถูกคนผลักตกน้ำ จะได้ช่วยเหลือตนเองได้ นี่เป็นความฉลาดของพวกข้าคนในราชวงศ์ ยิ่งกว่านั้น ข้ายังว่ายน้ำได้เก่งมากด้วย!”