บุรุษหนุ่มนิ่งงันไปครู่หนึ่ง
ทว่าบุรุษผู้เป็นองครักษ์หลวงกลับหักล้างคำกล่าวของฉืออิ๋ง “นางโกหก! หากนางว่ายน้ำจะต้องกินน้ำเข้าไปแน่ เฟิ่งจวินรักนางมากเกิน ไม่อาจยอมให้นางฝึกว่ายแน่!”
บุรุษหนุ่มกล่าวอย่างโล่งอก “แล้วเจ้าจะรออะไรอีก”
องครักษ์หลวงหิ้วฉืออิ๋งเดินไปที่ข้างสระน้ำ
ฉืออิ๋งร้องไห้อย่างหนัก “เจ้าคิดดีๆ นะ เสด็จพ่อของข้าทรงเป็นคนฉลาด เคยคลี่คลายคดีแปลกๆ มามากมาย แผนร้ายที่คนอย่างเจ้าสร้างขึ้นให้เหมือนตกน้ำไม่อาจรอดพ้นสายตาที่ฉลาดเฉลียวของเฟิ่งจวินไปได้แน่ เมื่อทรงตรวจสอบได้ว่าเจ้าคิดร้ายต่อข้า โทษของเจ้าคือตัดหัวทั้งตระกูล เจ้าไม่รู้สึกเสียดายชีวิตของตนเองหรือ เจ้าไม่รู้สึกเสียดายชีวิตคนในครอบครัวเจ้าหรือ รีบหยุดการกระทำของเจ้าลงเสีย วางมีดสังหารนี้ลงแล้วกลับตัวกลับใจเถิด ฮือๆๆ”
องครักษ์หลวงผู้นั้นเดินมาถึงข้างสระน้ำแล้วก็เกิดลังเลใจขึ้นมาอีก ฉืออิ๋งกอดแขนของเขาไว้ น้ำตาอาบทั่วใบหน้า หากข้าถูกปองร้ายเช่นนี้ จะได้เกิดใหม่หรือไม่ ข้าอายุยังน้อย ยังเที่ยวเล่นไม่พอเลย กลับต้องมาตายเสียแล้ว! ตัวเอกในนิยายล้วนแต่เปล่งประกายของตัวเอก แล้วประกายตัวเอกของข้าไปอยู่ที่ใดแล้วเล่า หรือว่าข้ามิใช่ตัวเอกตั้งแต่แรก นี่ช่างเป็นการค้นพบที่น่าเศร้าใจยิ่งนัก
“หากยังชักช้าจนมีคนมาพบเห็นเข้า เจ้าไม่ตายก็ต้องตาย ตายอย่างไม่ต้องสงสัย” บุรุษหนุ่มกอดอกมองด้วยสายตาเหยียดหยาม
องครักษ์หลวงผู้นั้นกัดฟันแน่น ก่อนตัดใจคลายมือปล่อยให้ฉืออิ๋งตกลงไปในน้ำ
“ช่วยข้าด้วย!” ฉืออิ๋งร้องขอความช่วยเหลือได้เพียงสั้นๆ
สิ้นเสียงตู้มดังขึ้น ฉืออิ๋งก็ตกลงในสระน้ำ นางดิ้นรนเพียงไม่กี่ครั้งก็จมลงสู่เบื้องล่าง คลื่นระลอกใหญ่พลันขยายออกไปเป็นวงๆ
จู่ๆ ใจของไป๋สิงเจี่ยนก็สะท้านขึ้นมา เขาเดินเข้าไปในเขตตำหนักในยามค่ำคืนด้วยความไม่สบายใจยิ่ง
เขาได้รับข่าวลับมา องค์ชายทำเรื่องไม่ดีงามนักระหว่างทางที่กลับเมืองหลวง ซีจิงกับเมืองหลวงห่างกันเป็นพันหลี่ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น แม้ว่าเขาจะไม่ใส่ใจเรื่องการกระทำของราชสำนัก ทว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงอาณาจักร เขาไม่อาจอยู่เฉยได้ ดังนั้นจึงเข้าวังมาแม้จะเป็นเวลาค่ำแล้ว ต้องการเข้าเฝ้าองค์ชาย
ด้วยชื่อเสียงของหัวหน้าสำนักหลันไถเป็นที่น่าหวาดหวั่น ไม่ว่าเขาเดินไปทางใด คนในวังจะหลีกหนีให้ทั้งสิ้น ดังนั้นเดินมาครู่ใหญ่แล้วจึงก็ไม่อาจหาคนไปแจ้งแก่องค์ชายได้เสียที เขามีโอกาสเข้าวังไม่มาก และสถานที่ที่เข้าเฝ้าบ่อยครั้งก็เป็นที่ตำหนักยงหวา สถานที่พักขององค์ชายองค์หญิงเขาแทบไม่เคยเหยียบย่างเข้ามา
เขาใช้ไม้เท้าค้ำเดินช้าๆ ยิ่งเดินก็ยิ่งเงียบวังเวง กระทั่งมาถึงส่วนหน้าของวังหลวง เข้ามาสู่เขตของอุทยานหลวงแล้ว เขาจึงเพิ่งรู้ว่าตนเองน่าจะมาผิดทาง
ก้าวอยู่บนทางเดิน มองเห็นเพียงแสงอ่อนๆ ปรากฏขึ้นท่ามกลางความมืด โดยที่มาของแสงนั้นอยู่ตรงสระน้ำเบื้องหน้า ฉับพลันความรู้สึกหนาวของต้นฤดูใบไม้ผลิก็แผ่มาอีก เขาหนาวสะท้าน รีบหมุนตัวเดินกลับ
ทว่าตอนที่จะก้าวออกมาจากทางเดิน เพื่อหลบเลี่ยงไอเย็นของสระน้ำในคืนอันหนาวเหน็บนี้ ฉับพลันได้ยินเสียงร้องไห้บางเบาดังขึ้นในยามวิกาล แม้เสียงนั้นจะสั้น แต่ก็คล้ายเป็นเสียงที่เคยผ่านหูมา ช่างคล้ายกับเสียงร้องไห้ที่หลันไถในครานั้นที่ทำให้ผู้คนถึงกับหวาดกลัว
ข้าต้องฟังผิดไปแน่
ไป๋สิงเจี่ยนก้าวเท้าไปตามเส้นทางเดิมเพื่อจะเดินกลับต่อไป แต่จู่ๆ เขาก็เกิดสังหรณ์ใจขึ้นมา จึงหันร่างกลับไป แล้วมองไปยังผืนน้ำในสระ ผิวน้ำที่เงียบสงบคล้ายมีเสียงร้องไห้แว่วมาจากน้ำ เขาหันไม้เท้ากลับ แล้วมุ่งหน้าไปทางสระน้ำ เสื้อของเขาปลิวพลิ้วต้านกับสายลมเย็น เขาก้าวเท้าเร็วขึ้น มองไปจนสุดสายตา ก็เห็นว่าที่ฝั่งตรงข้ามของสระน้ำมีคนสองคนยืนอยู่ ใต้เงาที่ทอดยาวไปในสระของสองคนนั้นเป็นจุดที่มาของวงคลื่น
สายตาของเขาหยุดนิ่งไม่ห่างจากข้างสระน้ำ มีตะกร้อไฟลูกหนึ่งตกอยู่
‘องค์ชายนำของเล่นจากซีจิงมาให้องค์หญิง เป็นตะกร้อไฟลูกหนึ่ง กับนิยายหนึ่งเล่ม’ เมื่อครู่ซูลิ่งสื่อเพิ่งเอ่ยรายงานต่อเขา
‘องค์หญิงต้องรักจนไม่ปล่อยมือแน่’ ไป๋สิงเจี่ยนเอ่ยวาจาเหน็บแนม เมื่อได้ยินเช่นนั้น
ของเล่นอันเป็นที่รัก ไม่ควรมาหล่นอยู่ข้างสระน้ำเช่นนี้กระมัง