“เจ้าอายุสิบหกเข้าวังหลวง จิตใจสัตย์ซื่อ วรยุทธ์เหนือใคร สามปีได้เลื่อนเป็นผู้บังคับกองพันขุนนางลำดับหลักขั้นสี่ ได้รับคำชมจากฝ่าบาท หากไม่มีเหตุผิดคาดไปจากนี้ ไม่นานเจ้าก็น่าจะได้เลื่อนเป็นขั้นสอง ได้กลับบ้านเกิดอย่างรุ่งโรจน์ นำพาชื่อเสียงไปให้บรรพชน ที่บ้านเจ้ามีมารดาอายุแปดสิบ นางมีบุญคุณที่เลี้ยงดูเจ้ามาอย่างยากลำบาก เจ้าก็สู้มุ่งหวังอยากให้นางได้บรรดาศักดิ์นายหญิงตราตั้ง จะได้ไม่มีคนในตระกูลกล้ารังแกอีก” ไป๋สิงเจี่ยนเล่าออกมาอย่างช้าๆ ซึ่งเป็นจริงทุกคำ ทุกตัวอักษรล้วนกระแทกลงที่ใจเถียนเหลียง
ในค่ำคืนที่แปลกประหลาดนี้ ผลงานกว่าครึ่งชีวิตและความมุ่งหวังหนึ่งเดียวขององครักษ์เถียนเหลียง พลันถูกคนเล่าเป็นฉากๆ ออกมา แม่นยำยิ่ง ราวกับว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นอย่างที่ขุนนางผู้นี้เห็นมาเองกับตา มารดาเลี้ยงดูเขามาคนเดียว กว่าเขาจะฝ่าฟันจนพบกับความสำเร็จ ไม่รู้ว่าต้องถูกรังแกจากคนในหมู่บ้านมามากเท่าไร วันที่เขาคิดตอบโต้คือวันที่เขาจะกลับมาอย่างรุ่งโรจน์ ทำให้คนในหมู่บ้านต้องไว้หน้าพวกเขาสองคน ให้ประมุขตระกูลผู้เย่อหยิ่งจองหองต้องมาคุกเข่าคารวะที่เท้ามารดา
“เดิมทีทุกอย่างล้วนดูราบรื่น ทว่าเจ้ากลับถูกสตรีที่ชื่นชอบปฏิเสธต่อหน้า ทำให้เกลียดชังสตรีนับแต่นั้นมา แล้วเปลี่ยนไปชอบเด็กหนุ่มแทน หากมารดาเจ้ารู้เรื่องนี้เข้า ไม่รู้ว่าจะเสียใจเพียงใด” ไป๋สิงเจี่ยนกล่าวถึงบาดแผลทางใจของเถียนเหลียงต่อ
เมื่อนึกถึงมารดาอายุแปดสิบปีของตนเองแล้ว เถียนเหลียงก็ยกมือปิดใบหน้าด้วยความเสียใจ เขาทรุดตัวลงต่อหน้าไป๋สิงเจี่ยนราวกับเด็กที่รู้สึกผิด
ทันทีที่บุรุษหนุ่มเห็นฉากนี้เข้า ในใจพลันตระหนก ก่อนมองไป๋สิงเจี่ยนที่ร่างกายมีปัญหาทว่ายังดูสุขุมยิ่ง หรือข้ามาแหย่คนที่ไม่ควรแหย่จริงๆ เขารู้เรื่องราวขององครักษ์หลวงทุกเรื่อง แล้วเขาจะรู้เรื่องของข้า…
ไป๋สิงเจี่ยนเอ่ยปากอีกครั้ง
เรื่องที่บุรุษหนุ่มเป็นกังวลก็เกิดขึ้นจริง…
“ในเมื่อความชอบนี้เปลี่ยนยาก หากทำเรื่องสำราญใจกันอย่างลับๆ ก็พอจะยกโทษได้หรอก แต่เจ้าไม่ควรมาทำเรื่องที่ไร้ยางอายในวังเช่นนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าบุรุษหนุ่มผู้นี้คือใคร” ไป๋สิงเจี่ยนเหมือนกำลังสอนคนรุ่นหลังที่กระทำความผิดมา เขาจึงจะเปิดเผยความจริง
“เขา…เขาเป็นใครกัน” เถียนเหลียงเงยหน้าที่เปื้อนน้ำตาขึ้นมอง ราวกับมองเห็นไป๋สิงเจี่ยนเป็นผู้ช่วยชีวิตเขา
‘บุรุษหนุ่ม’ ค่อยๆ ถอยหลังไปทีละก้าว มือกำแน่น รู้สึกหนักใจยิ่งนัก จบกัน ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว!
“นางเป็นเครื่องบรรณาการที่ผู้ตรวจการมณฑลอวิ๋นโจวถวายให้องค์ชาย องค์หญิงแห่งแคว้นเหยา…เหยาจี”
ไป๋สิงเจี่ยนไม่แม้แต่จะมองเหยาจีที่ผู้คนเล่าลือกันว่าสวยงามหยาดเยิ้มราวเทพธิดา
เถียนเหลียงราวกับถูกสายฟ้าฟาดลงมา เขาทรุดนั่งลงกับพื้น “นาง…นางแต่งกายเป็นบุรุษ ที่จริงกลับเป็นสตรี? ในเมื่อนางเป็นถึงองค์หญิงของแคว้นเหยา เหตุใดถึงยินยอมพร้อมใจให้กับองครักษ์หลวงเช่นข้าเล่า”
“ที่แต่งกายเป็นบุรุษก็เพื่อไม่ให้เป็นที่สนใจ นางทำตัวเป็นผู้ติดตาม คอยอยู่ข้างกายองค์ชายนั้น ก็เป็นเพราะองค์ชายแอบพามายังเมืองหลวงอย่างลับๆ ไม่กล้าให้ฝ่าบาทและเฟิ่งจวินทราบเรื่องเข้า แต่เจ้ากลับเห็นเขาเป็นชายบำเรอไปเสียได้” ไป๋สิงเจี่ยนช่วยคลายความสงสัยให้เถียนเหลียง “เรื่องที่ว่าเหตุใดนางจึงยอมใกล้ชิดเจ้า นอกจากอยากเล่นสนุกแปลกๆ แล้ว ข้าคิดว่าคงไม่มีเหตุผลอื่น ผลักองค์หญิงลงน้ำจะต้องเป็นความคิดของนางแน่ เพราะนางกลัวเรื่องราวระหว่างนางกับเจ้าจะถูกเปิดเผย ต่อให้องค์ชายทราบเรื่องเข้า แล้วท้ายสุดปลงชีวิตองค์หญิงสำเร็จจริง อย่างไรก็ต้องตรวจสอบเรื่องราวอยู่ดี ถึงอย่างนั้นเบาะแสก็สาวไปถึงตัวเจ้าเพียงผู้เดียว สงสารเจ้าที่ถูกปิดหูปิดตาจนไม่รู้อะไรแล้ว ยังต้องมาขายชีวิตให้นางอีก”
เถียนเหลียงถึงกับตาสว่าง เขาเสียใจที่ตอนแรกเกือบพลาดลงมือไป “ไท่สื่อ เป็นนางมารร้ายนั่นที่ยั่วยวนข้า ข้าไม่ได้คิดทำร้ายองค์หญิงเลย ท่านต้องช่วยข้านะ!”
เหยาจีที่แต่งเป็นบุรุษยิ่งเสียใจมากกว่า แค้นใจนักที่เมื่อครู่มีดสั้นพลาดเป้าไป “เจ้าเป็นใครกันแน่ เหตุใดจึงรู้ความเป็นมาของข้าได้อย่างชัดเจนเช่นนี้ หรือเจ้าแอบชอบข้า ที่จริง…เจ้าก็ปรารถนาในความงามของข้ารึ!”
“ตามที่เล่าลือมานั้น งามที่สุดในแคว้นเหยาไม่มีผู้ใดเกินเหยาจี ร้ายที่สุดในแคว้นเหยาไม่มีผู้ใดเกินเหยาจี เป็นเพราะแคว้นเหยาไม่มีผู้ใดกล้าตอแยเจ้า ดังนั้นเจ้าจึงลอบข้ามพรมแดนมา มุ่งหวังหว่านเสน่ห์ให้องค์ชายแห่งอาณาจักรต้าอิ่น” แหล่งข่าวของหัวหน้าสำนักหลันไถนั้น เกรงว่าแม้แต่สำนักตรวจการก็ยังต้องอับอาย คนที่มีความเป็นมาไม่ชัดแจ้ง ดูลึกลับถึงเพียงนี้ ทว่าในสายตาของหัวหน้าสำนักหลันไถกลับล้วนเห็นได้อย่างชัดเจนยิ่ง