บทที่ 6
ตอนที่หมอหลวงกู้ไหวถูกส่งตัวมาดูอาการของไป๋สิงเจี่ยน พวกหมอหลวงรุ่นเดียวกันต่างหัวเราะเสียงเบาๆ แววตาเย้ยหยัน กู้ไหวรู้สึกได้ว่าตนเองกำลังถูกลงโทษ
อาจเพราะครั้งก่อนเขาไม่ได้จัดยาตามใบสั่งยาของหมอหลวงใหญ่ แต่ใช้ยาที่ตนเองคิดขึ้นมา แม้เขาจะอธิบายเหตุผลของตนเองอย่างเต็มที่ ทว่าสุดท้ายยาตำรับนั้นที่เขาทำขึ้นมาก็ไม่รอดพ้นต้องถูกเททิ้งลงในบ่อละลายยาอยู่ดี ก่อนหน้าที่มีการสอบประจำเดือนของสำนักหมอหลวง ทั้งที่กระดาษคำตอบของเขาไม่มีรอยหมึกเลอะเปื้อน ทั้งไม่เคยมีร่องรอยแก้ไขก็ยังถูกสงสัยว่าเขาทุจริตในการสอบ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังหาหลักฐานไม่พบ
พอได้ยินว่ารัชทายาทจมน้ำจนบัดนี้ก็ยังสลบอยู่ สำนักหมอหลวงจึงถูกเรียกตัวเข้าวังในคืนนี้ กู้ไหวรีบเตรียมยาบางตัวที่เขาเชื่อว่าช่วยให้รัชทายาทฟื้นขึ้นมาได้ แต่ตามความเป็นจริงที่ปรากฏนั้น…ความคิดที่จะรักษากับการลงมือจริงนั้นช่างห่างไกลเหลือเกิน เขาไม่มีทางได้เฉียดใกล้รัชทายาทเลยด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงโอกาสในการถวายยา
เขาได้ยินหมอหลวงที่รอรับการเรียกตัวอยู่ที่นอกตำหนักกล่าวว่าหากใบสั่งยาของพวกหมอหลวงฝีมือดี ใช้ไม่ได้ผล อาจจะถึงคราวของตนเองได้ ในช่วงที่เขากำลังคิดพิจารณาอยู่นั้น หมอหลวงใหญ่ก็สั่งให้หมอหลวงบางคนไปดูอาการของใครอีกคนที่ตำหนักข้าง เมื่อถามจนรู้ว่าคนที่อยู่ในนั้นก็คือหัวหน้าสำนักหลันไถแล้วก็ไม่มีผู้ใดยอมสมัครใจไปสักคน
เล่ากันว่าหมอหลวงใหญ่เคยได้รับการไหว้วานจากจักรพรรดินีให้จัดส่งหมอหลวงอาวุโสที่มีวิชาแพทย์อันล้ำเลิศของสำนักหมอหลวงหลายคนไปรักษาขาของไป๋สิงเจี่ยน ผลก็คือหมอหลวงอาวุโสหลายคนล้วนถูกฉีกหน้าอย่างไร้น้ำใจยิ่ง ยิ่งหลันไถด้วยแล้ว การฉีกหน้านั้นย่อมต้องถูกเล่าลือออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า…แตกออกมาเป็นหลายฉบับ
จุดร่วมของบันทึกทั้งหลายก็คือหัวหน้าสำนักหลันไถห้ามไม่ให้ใครแตะต้องร่างกายเขา…แม้แต่จะจับชีพจรก็อย่าได้คิด ให้ยกเสื้อคลุมขึ้นดูขาก็ไม่อาจทำได้ ทำตามหลักการของแพทย์ไม่ได้สักอย่าง เจอคนป่วยเช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะจักรพรรดินีขอให้พวกเขามา พวกหมอหลวงอาวุโสก็คงทิ้งขว้างไป๋สิงเจี่ยนไปแล้ว และด้วยแรงกดดันนี้ พวกหมอหลวงจึงได้แต่เขียนใบสั่งยาโดยเลือกตามตำรับยารักษาโรคให้เขา โดยไม่สนใจว่าจะได้ผลหรือไม่ ขอเพียงรักษาแล้วไป๋สิงเจี่ยนไม่ตายก็พอ พวกตนจะได้ไม่ต้องแบกรับโทษของการรักษาผิดพลาด
แต่แล้วใบสั่งยาตามตำรับยาเหล่านี้ก็ถูกไป๋สิงเจี่ยนวิพากษ์วิจารณ์อย่างโหดร้ายยิ่ง เขาพูดว่าสำนักหมอหลวงไม่คิดจะก้าวหน้า หมอหลวงได้แต่คัดลอกคำที่น่าเบื่อจากตำรายาเก่าแก่ ทำงานแบบขอไปที มุ่งหวังเพียงรักษาคนแล้วไม่ตาย การรักษาเช่นนี้ยังสู้หมอยาในชนบทไม่ได้เสียด้วยซ้ำ ตัดใจขอเกษียณลากลับบ้านเกิดไปดีกว่า จะได้เป็นการไม่ทำร้ายคนอื่น ตนเอง และอาณาจักร ตอนนั้นถึงกับมีหมอหลวงอาวุโสโกรธจนเส้นเลือดสมองแทบแตกทีเดียว
จากนั้นมาก็ไม่มีหมอหลวงคนใดยอมไปรักษาหัวหน้าสำนักหลันไถอีก คนป่วยไม่เพียงไม่ยอมรับการรักษา ทั้งยังเย้ยหยันหมอหลวงด้วย หมอหลวงใหญ่แสดงให้เห็นว่าไม่เคยเจอคนที่ไม่ละอายใจเช่นนี้มาก่อน
ทว่าคราวนี้หัวหน้าสำนักหลันไถซึ่งเป็นคนป่วยคนสำคัญก็มาปรากฏอยู่ต่อหน้าแล้ว จักรพรรดินีให้หมอหลวงมาทำการรักษาเขา หมอหลวงใหญ่เห็นไม่มีใครตอบรับ พอดีกับที่หันไปเห็นคนที่ขึ้นชื่อในเรื่อง ‘หัวดื้อ’ เข้าพอดี ‘กู้ไหว เห็นแก่ที่ผลสอบประจำเดือนของเจ้าออกมาดีเยี่ยม ให้เจ้าไปช่วยดูอาการหัวหน้าสำนักหลันไถเป็นกรณีพิเศษแล้วกัน ยังไม่รีบไปอีก!’
กู้ไหวจึงสะพายล่วมยาเข้าไปหาไป๋สิงเจี่ยนเช่นนี้ โดยที่มีพวกหมอหลวงหัวเราะเยาะกันอยู่เบื้องหลัง
กู้ไหวเดินเข้าไปในตำหนักข้างก็เห็นผู้ที่สำนักหมอหลวงขึ้นบัญชีดำชั้นหนึ่งเอาไว้ มีแสงสว่างของตะเกียง กระนั้นทั้งตำหนักก็ยังดูสลัวมัวอยู่ หัวหน้าสำนักหลันไถนั่งอยู่ที่ข้างโต๊ะ ในมือเล่นตะกร้อไฟ บนเข่าทั้งสองมีผ้าห่มขนสัตว์ปิดคลุมอยู่ ไม้เท้าวางพิงอยู่ข้างขา
“ข้าน้อยหมอจากสำนักหมอหลวง ขออนุญาตตรวจชีพจรของไท่สื่อขอรับ” กู้ไหวคำนับทำความเคารพ
ไป๋สิงเจี่ยนเลื่อนสายตามองมาที่ไหวกู้ “ไม่ต้อง” กล่าวจบแล้วก็เบนสายตากลับไป
กู้ไหวไม่ตอบอะไร หลังจากคำนับเสร็จแล้วเขาก็ยืดตัวตรงขึ้น ประคองล่วมยาเดินเข้ามาด้านในตำหนัก เมื่อเข้าใกล้จึงพบว่าแสงตะเกียงที่ไป๋สิงเจี่ยนถือเล่นอยู่ในมือนั้นเป็นแหล่งที่มาเดียวของแสงสว่างในตำหนัก ลักษณะของตะเกียงเหมือนว่าจะใช้เล่นได้ ไม่ใช่มาให้แสงสว่าง มิน่าเล่าในตำหนักจึงสลัวเช่นนี้
“ไม่คิดว่าในวังจะมีตะกร้อไฟของเล่นที่เด็กตามชนบทเล่นกันด้วย” กู้ไหวจำที่หนังสือเขียนไว้ได้ การจะรักษาคนป่วยที่หัวดื้อและเจ้าปัญหานั้น จะต้องเริ่มจากการเปลี่ยนความคิดของคนป่วยที่เห็นหมอเป็นศัตรู รูปแบบที่ดึงมาใช้ได้คือการหาหัวข้อสนทนาเดียวกัน แต่การจะหาหัวข้อสนทนาได้นั้นจะต้องสังเกตได้ว่าคนป่วยมีความชอบเรื่องใดบ้าง วิธีที่ง่ายที่สุดคือดูว่าความสนใจระยะยาวของผู้ป่วยอยู่ที่สิ่งใด
ไป๋สิงเจี่ยนเอาแต่มองตะกร้อไฟที่แสนจะธรรมดานี้ กู้ไหวจึงคาดเดาว่าคนป่วยน่าจะชื่นชอบพวกงานฝีมือ