เมิ่งกวงหย่วนกำลังนึกไปว่าที่ฉืออิ๋งพูดเรื่องส่งการบ้านนั้นเป็นเพียงการเปิดหัวข้อสนทนา กระทั่งฉืออิ๋งเปิดกระเป๋าเจาเหวินที่อยู่ข้างตัว แล้วหยิบสมุดเล่มหนึ่งขึ้นมาจริงๆ ความหวังสุดท้ายของเมิ่งกวงหย่วนพลันดับสูญไปทั้งอย่างนี้
ฉืออิ๋งส่งการบ้านอย่างเป็นจริงเป็นจัง นางยื่นส่งไปถึงเบื้องหน้าไป๋สิงเจี่ยน หยุดลงตรงข้างไม้เท้าของเขาพอดี นางสงสัยว่าตนเองใช่ถูกไม้เท้าของไป๋สิงเจี่ยนตีจนตื่นขึ้นมาหรือไม่ แต่นางไม่มีหลักฐาน จึงไม่อาจกล่าวหาเขาได้ นางหรี่ตามองไปที่ไม้เท้าอันนั้น แล้วนึกสงสัยขึ้นมา หากนางเอาไม้เท้านี้โยนทิ้งไป อยากรู้นักว่าเขาจะยังวางอำนาจได้หรือไม่!
มือที่จับไม้เท้ามีข้อนิ้วที่เกือบเท่ากัน มือที่จับหนังสือ จับพู่กัน และเขียนบันทึกได้น่าตื่นตระหนกยิ่งนี้ ในสายตาฉืออิ๋งแล้วก็เป็นเพียงมือของคนธรรมดาที่รวมมาจากเลือดเนื้อ ดูนิ้วเรียวกว่าคนทั่วไปและขาวซีดกว่า มือที่เขียนคำวิจารณ์อันร้ายกาจในการบ้านของนาง จะมีส่วนใดที่โดดเด่นกว่าผู้อื่นเล่า เหตุใดคนในเมืองหลวงจึงต้องพรั่นพรึงด้วย
ยาที่ไป๋สิงเจี่ยนกินเข้าไปยังออกฤทธิ์อยู่บ้าง สติของเขาจึงไม่ค่อยแจ่มใสนัก เมื่อได้นั่งลงบนเก้าอี้แล้วก็ไม่นึกอยากเคลื่อนไหวอีก การบ้านที่มีคนเขียนแทนเช่นนี้จำเป็นต้องตั้งใจมาส่งถึงที่บ้านคนอื่นด้วยรึ ข้าไม่มีอารมณ์จะไปอ่านและวิจารณ์การบ้านนี้หรอก
“ทรงส่งไว้ที่สำนักศึกษาเจาเหวินก็พอพ่ะย่ะค่ะ” แม้น้ำเสียงที่เขาพูดจะแผ่วเบาดูอ่อนแรงเพียงใด เขาก็ยังปฏิเสธที่จะรับสมุดการบ้านของฉืออิ๋งไว้ด้วยความมุ่งมั่นยิ่ง
ฉืออิ๋งไม่ยอมแพ้ง่ายๆ นางยังคงยื่นสมุดการบ้านของตนเองไปตรงหน้าเขา “ไม่รู้ว่าอีกกี่วันอาจารย์ถึงจะไปสำนักศึกษาเจาเหวิน ศิษย์อยากได้คำวิจารณ์ของอาจารย์เร็วหน่อย”
ส่งมาให้ถึงใบหน้าแล้ว ไป๋สิงเจี่ยนก็ยังไม่รับ “ทรงวางไว้ที่โต๊ะในบ้านก็ได้”
ฉืออิ๋งหาใช่คนที่จะกำราบได้โดยง่าย เมื่อเห็นว่าไป๋สิงเจี่ยนจงใจไม่รับไว้ นางจึงกอดการบ้านไว้กับตัว พลางเดินเข้าไปใกล้ไป๋สิงเจี่ยนขึ้นอีก “อาจารย์ ท่านลาป่วยสักกี่วัน”
“สี่ห้าวันพ่ะย่ะค่ะ” ไป๋สิงเจี่ยนขมวดคิ้ว เอนร่างไปทางด้านหลัง
“นานเกินไป” ฉืออิ๋งได้คืบจะเอาศอก มือข้างหนึ่งวางลงบนที่เท้าแขนของเขา “ไม่ได้พบอาจารย์ตั้งหลายวันแล้ว…” เพียงก้าวขึ้นมาอีกหนึ่งก้าว เท้าของฉืออิ๋งก็เหยียบหูหลัวปัวที่เหลือครึ่งหัวที่ข้างเก้าอี้เข้า เท้านางพลันไถลไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ศีรษะคะมำลง ร่างล้มไปบนร่างของไป๋สิงเจี่ยนบนเก้าอี้
เมิ่งกวงหย่วนดวงตาแทบถลน
ฉืออิ๋งโผไปอยู่บนร่างของไป๋สิงเจี่ยนเต็มๆ ขาแนบไปที่ขาของเขา ศีรษะพุ่งชนกับหน้าอกของเขา นางสูดกลิ่นยาเข้าไปเต็มจมูก เกือบจะถูกกลิ่นยานี้รมจนเวียนศีรษะ นางคิดว่าร่างกายของบุรุษหนุ่มสักคน ต่อให้ไม่มีกลิ่นหอมหวานของดอกแพรเหมือนกับบิดา แต่อย่างน้อยก็ควรจะมีกลิ่นหอมบ้างสิ ทว่าไป๋สิงเจี่ยนผู้นี้ได้ลบภาพฝันของนางไปแล้ว ที่แท้ยังมีบุรุษที่มีแต่กลิ่นยาเต็มตัวอยู่ด้วย เทียบกับกลิ่นยาจากพวกหมอหลวงแล้ว กลิ่นยาจากตัวเขากลับเข้มข้นกว่ามาก ช่างระคายเคืองจมูกเสียจริง
ฉืออิ๋งไม่รู้ว่านางก็ทำให้ไป๋สิงเจี่ยนเวียนศีรษะไม่น้อยเช่นกัน กลิ่นหอมบนอาภรณ์ที่สั่งทำขึ้นเป็นพิเศษสำหรับคนในราชวงศ์ กลิ่นหอมนี้จะโชยไปไกลก่อนถึงตัวในระยะสิบกว่าก้าว เมื่อกลิ่นไปติดตัวใครแล้วก็จะทำให้คนเกิดอาการหายใจติดขัด แน่นอนว่านี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับไป๋สิงเจี่ยน เขาไม่เพียงหายใจได้ยากลำบาก บนร่างก็รู้สึกคันคะเยอขึ้นมา