อันที่จริงนางแทบจะเป็นอี๋เหนียงห้าแต่ในนาม เพราะแค่หน้าราชบุตรเขยยังได้เจอไม่กี่ครั้ง พูดจากันยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่ อนุสามคนก่อนหน้านางชาติตระกูลไม่ธรรมดาเลยสักคน มีแต่นางนี่ล่ะที่เป็นไก่ป่าอยู่คนเดียว อนุพวกนั้นไม่ใคร่เห็นนางอยู่ในสายตานัก ต่อให้ไม่วัดกันที่ชาติกำเนิด ทั้งสามก็มักจะจับกลุ่มคุยกันเรื่องโคลงกลอน ขณะที่จือจือทำได้แค่งานเย็บปักและงานครัวเท่านั้น
ราชบุตรเขยเคยมาหาและพูดคุยกับนาง แต่แค่ถามเรื่องชื่อ จือจือก็ตอบไม่ถูกเสียแล้ว
‘จือจือ? คำว่าจือจากบทกลอนที่ว่า สุ่ยจือชูดอกแดงแลสลอน งามอ่อนน้อมน่ามองประคองใคร่ น่ะหรือ’
จือจือฟังไม่รู้เรื่องโดยสิ้นเชิง
บ้านนางแซ่หลิน แต่นางเป็นบุตรสาว ตามธรรมเนียมวงศ์ตระกูล บุตรสาวไม่มีสิทธิ์ใช้แซ่ เพราะเดี๋ยวก็ต้องออกเรือนไปอยู่ดี
ดังนั้นนางจึงชื่อจือจือ หนังสือก็อ่านออกไม่กี่มากน้อย แค่พอเขียนชื่อตนเองเป็น จำได้ว่าในเทศกาลไหว้พระจันทร์ปีหนึ่ง ตำหนักองค์หญิงจัดงานใหญ่โต อี๋เหนียงรองเสนอให้เล่นตีกลองวนดอกไม้ให้หญิงสำนักสังคีตเป็นคนตีกลองเล็ก เสียงกลองหยุดลงเมื่อใด ดอกกุ้ยวนไปอยู่ในมือใคร คนผู้นั้นจะต้องแต่งกลอนหนึ่งบท
จือจือนั่งภาวนาขออย่าให้ดอกกุ้ยวนมาหยุดในมือตน ปรากฏว่าเพิ่งจะเล่นรอบแรก ดอกกุ้ยก็หยุดลงในมือนางเสียแล้ว ภายใต้สายตาทุกคู่ นางถือดอกไม้หน้าแดงก่ำ อึกๆ อักๆ พูดไม่ออกอยู่เป็นนาน
อี๋เหนียงสามผู้ใจร้อนเป็นนิสัยเหน็บอย่างเหลืออด ‘น้องห้า พูดอะไรเข้าสิ ไม่มีปากหรือไรกัน’
อี๋เหนียงรองยิ้มบางๆ ‘น้องห้าอาจจะยังนึกไม่ออกก็ได้ ไม่ต้องรีบร้อน’
จือจือมองพวกนาง แล้วขยับปากพะเยิบพะยาบ ก่อนจะเปล่งเสียงออกมาในที่สุด ‘วันที่สิบห้าเดือนแปดจันทร์กลมโต ข้า…ข้า…กำลังชมจันทร์เวลานี้’
เพิ่งจะเอ่ยจบ เสียงหัวเราะคิกก็ดังขึ้นจากรอบตัว
เสียงนั้นราวกับเป็นคลื่นในทะเลที่โถมซัดท่วมนางจนมิดในพริบตา
ความพยายามและความขมขื่นของนางมีแต่จะโหมให้คลื่นทวีกำลังแรงขึ้นกว่าเก่า
จือจือคิดถึงเรื่องราวต่างๆ พลางลอยไปยังเรือนที่เคยอยู่ แต่บัดนี้ที่นั่นว่างเปล่าวังเวง ไม่เหลือใครแม้แต่คนเดียว มิหนำซ้ำประตูเรือนยังลงกลอนไว้ ดูท่าหลังจากนางตายจะไม่มีใครกล้าเข้าไปอยู่ ด้วยกลัวความอัปมงคล เพราะนางถูกโบยจนขาดใจตายที่นี่
จือจือถอนหายใจเฮือก ไม่รู้ว่าไฉ่หลิงก็กลายเป็นวิญญาณล่องลอยไปแล้วด้วยหรือไม่ ถ้าหากเป็นเหมือนกันจะได้มานั่งคุยกันได้
จนป่านนี้นางก็ยังไม่รู้ว่าบุรุษที่อยู่บนเตียงในคืนนั้นเป็นใครมาจากไหน ทว่าแม้นางจะหัวทึบ แต่ก็ไม่ได้โง่เง่าจนถึงที่สุด นางเป็นแค่อนุไร้ประโยชน์ผู้หนึ่ง กระทั่งราชบุตรเขยยังได้เจอหน้ากันแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น หากใครสักคนคิดจะทำร้ายนาง ก็ไม่จำเป็นต้องจัดฉากให้วุ่นวายแต่อย่างใด อีกทั้งคืนนั้นกงหมัวมัวยังให้คนจับตัวนางไปโบยจนตายก่อนจะได้พบองค์หญิงกับราชบุตรเขยด้วยซ้ำ ส่วนบุรุษผู้นั้น…
จือจืออดไม่ได้ที่จะหวนรำลึกถึงดวงตาคู่นั้น
บุรุษผู้นั้นมีนัยน์ตางดงาม รอบตัวอวลด้วยกลิ่นอายสูงส่งที่ไม่อาจดูถูกได้ เชื่อว่าคงไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป
การจัดฉากให้ร้ายคงพุ่งเป้าไปที่คนผู้นั้นเสียมากกว่า ส่วนนางก็เป็นแค่เบี้ยตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น