เซี่ยงจวี่เหรินมีชื่อเต็มว่าเซี่ยงชิงจวี ก่อนสอบได้ตำแหน่งจวี่เหรินเป็นบัณฑิตที่ศึกษาในสำนักศึกษาหลวง ชาติที่แล้วน้องชายเขียนจดหมายมาเล่าให้นางฟังว่าศิษย์พี่ร่วมสำนักสอบได้ตำแหน่งจวี่เหริน นางถึงได้รู้ จือจืออ่านหนังสือไม่ออก ต้องให้สาวใช้อ่านให้ฟัง ทว่าไฉ่หลิงก็รู้หนังสือไม่มาก พออ่านมาถึงชื่อจวี่เหรินจึงติดขัด
‘เซี่ยงชิง…เซี่ยงชิง…ตัวนี้บ่าวอ่านไม่ออกเจ้าค่ะ’ สาวใช้ยื่นจดหมายให้นางดูด้วยใบหน้าแดงก่ำ
จือจือรับจดหมายมา ‘ไม่เป็นไร คนผู้นี้ข้ารู้จัก ชื่อเซี่ยงชิงจวี’
ต่อมาเมื่อกลายเป็นวิญญาณล่องลอย จือจือมักจะขึ้นไปนอนเกาะอยู่บนขื่อ จึงเคยได้ยินขันทีพูดว่า ‘ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท เซี่ยงชิงจวีที่เป็นทั่นฮวาปีนี้เก่งกาจสมนามจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ’
เซี่ยงชิงจวี?
จือจือค่อนข้างประหลาดใจทีเดียว ภายหลังเมื่อได้เห็นเซี่ยงชิงจวีสวมชุดขุนนาง นางถึงเชื่อว่าที่แท้เขาสอบติดจริงๆ
หากจะบอกว่าจือจือเป็นสาวชาวบ้านที่งดงามที่สุดในรัศมีสิบลี้ละแวกนี้ เซี่ยงชิงจวีก็เป็นชายหนุ่มที่หน้าตาดี ซ้ำยังมีความรู้มากที่สุดในย่านเดียวกัน ทว่าเขาเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาเรียนหนังสือ ไม่ไยดีเรื่องรักๆ ใคร่ๆ อันที่จริงชาติก่อนจือจือแอบนิยมในตัวเซี่ยงชิงจวีเงียบๆ แต่เพราะมีพระราชโองการลงมา นางจึงต้องแต่งเข้าตำหนักองค์หญิงอย่างไม่มีทางเลือก
ลองมาคิดดู หากชาตินี้นางได้ลงเอยกับเซี่ยงชิงจวีก็จะประเสริฐยิ่ง เมื่อเซี่ยงชิงจวีได้เป็นทั่นฮวา นางก็จะเป็นฮูหยินของทั่นฮวา จือจือลอบยิ้มอยู่คนเดียว จากนั้นก็หาเข็มกับด้าย ตั้งใจจะปักถุงเหอเปาให้เขา
นางไม่เคยเรียนหนังสือ ที่ผ่านมามารดาจะคอยเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟังเสมอ
มารดาเคยบอกไว้ว่าอย่าได้เหนียมอายกับคนที่ชอบเป็นอันขาด
มารดายังบอกอีกว่าการได้หัวใจบุรุษมาครองไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด
‘เห็นหรือไม่ ปีศาจจิ้งจอกในตำนานแค่กระดิกนิ้วนิดเดียว บุรุษก็ติดกับกันหมด สมัยก่อนพ่อเจ้าก็เป็นแบบนี้เช่นกัน’
แม้ว่ามารดาจะป่วยตายไปตั้งแต่จือจืออายุสิบสอง นางก็ยังจดจำคำสอนได้ขึ้นใจ
จือจือตัดสินใจปักถุงเหอเปารูปยวนยาง
ที่นางออกไปข้างนอกในช่วงสามสี่วันนี้ก็ล้วนแต่ไปตระเวนตามร้านเครื่องหอมทั้งสิ้น เพราะคิดว่าคนร่ำเรียนน่าจะชอบกลิ่นหอมที่ทำให้หัวใจสงบผ่อนคลาย ดังนั้นนางจึงเที่ยวตะลอนๆ ตามหาเครื่องหอมที่คิดว่าดมแล้วสงบใจได้มากที่สุดไปทั่วเมือง
“จะลงกลอนประตูแล้วนะ นางหนู เสี่ยวหยวน พวกเจ้ารีบเข้านอนเสีย” เสียงของบิดาดังอยู่ข้างนอก
จือจือเงยหน้าพรวด แล้วพบว่าตนเองขะมักเขม้นปักถุงเหอเปาเพลินจนฟ้ามืดตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ได้ สีหน้าของนางเปลี่ยนไปทันที รีบโยนงานปักทิ้ง จากนั้นก็วิ่งไปที่เตียง
เด็กสาวมุดเข้าไปในผ้าห่มอย่างว่องไว แล้วดึงผ้าขึ้นมาคลุมโปงอย่างมิดชิด
“จริงหรือเปล่าที่เจ้าบอกว่ามีมนุษย์มองเห็นพวกเรา”
“จริงสิ ก็เด็กสาวที่อยู่ในห้องนี้นั่นล่ะ”
“เช่นนั้นหรือ ข้าเพิ่งเคยเจอคนที่มองเห็นข้าเป็นครั้งแรก ฮิๆ ไม่ได้คุยกับมนุษย์มานานแล้ว พวกเราไปหาเด็กสาวผู้นั้นกันดีกว่า”
“เอาสิ แล้วต้องเคาะประตูหรือไม่”
“เจ้าเคาะประตูได้ด้วยหรือ”
จือจือนอนตัวสั่นอยู่ในผ้าห่ม เสียงข้างนอกใกล้เข้ามาทุกที จนเหมือนมาอยู่ข้างเตียงนาง