ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน อุบายรักลิขิตเสน่หา บทที่ 21
ก่อนหน้านี้นางมักจะส่งบิดาเดินทางออกจากบ้านบ่อยครั้งเช่นกัน
ช่วงเวลาแห่งการแยกจากนั้นเป็นเรื่องปกติมาก แต่หลังจากนั้นนางจึงตระหนักได้ถึงความแตกต่าง
ลู่อู๋โยวกับฮวาเว่ยหลิงทยอยกันจากไป ในจวนว่างลง ข้างกายก็ไม่มีสาวใช้ให้พูดคุยด้วยจึงเงียบสงบเป็นพิเศษ เฮ่อหลันฉือฝึกฝนร่างกาย ฝึกยิงธนู อ่านหนังสือ เขียนอักษร ฝึกเย็บปัก…
ไม่มีอะไรแตกต่างจากปกติ
แต่ไม่มีใครจะยกของว่างเดินมาพูดอย่างสบายอารมณ์กับนางในเวลานี้ว่า ‘คุณหนูเฮ่อหลัน ท่าทางของเจ้าเมื่อครู่ยังไม่ถูกต้องเล็กน้อย ยกแขนขึ้นอีกนิด’
หรือว่า ‘ถ้าเจ้ารู้จักข้าเร็วสักนิด ไม่แน่ว่าข้ายังสามารถสอน…อ้อ พวกเรารู้จักกันเร็วมากจริงๆ’
และไม่มีใครที่ปากพูดหยอกเย้านางไม่หยุด จับผมนางเล่น ลูบแก้มของนาง จุมพิตนางพลางพูดจาเหลวไหลบางอย่างข้างหูนางในสถานที่ที่ไม่เหมาะไม่ควร
ตอนกินอาหารไม่มีคนคีบกับข้าวให้นางแล้วพูดว่า ‘วันนี้จานนี้ทำได้ไม่เลว เจ้าชิมให้มากหน่อยเถิด’
ข้างหูดูเหมือนจะเงียบสงบลงทันใด
แต่เป็นเพราะเงียบสงบเกินไป จึงทำให้รู้สึกไม่คุ้นชิน
ตอนเฮ่อหลันฉือตกใจตื่นกลางดึกก็มองไม่เห็นเงาร่างข้างกายที่ลมหายใจสม่ำเสมอทั้งยังนอนเป็นระเบียบเช่นเดิมแล้ว
ก่อนหน้านี้อยู่ด้วยกันทั้งกลางวันกลางคืน ได้เห็นหน้ากันทุกวัน ลู่อู๋โยวใช้วิธีที่ไม่อาจมองข้ามได้บางอย่างเข้ามายึดทุกส่วนในชีวิตประจำวันของนางโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ก่อนหน้านี้ต่อให้แยกกันหนึ่งวันสองวันก็ไม่รู้สึกอะไร ตอนนี้นานเข้าจึงตระหนักถึงมัน
นางดูเหมือนเคยชินกับวันเวลาที่มีลู่อู๋โยวแล้ว
รอบข้างถึงขั้นเงียบสงบจนน่ากลัวเล็กน้อย
ซวงจือเหมือนจะสังเกตเห็นว่าหลายวันมานี้เฮ่อหลันฉือไม่ค่อยสดชื่นนัก จึงพูดเสนอความเห็นว่า “ไปหาคุณหนูสกุลเหยา แล้วไปจุดธูปไหว้พระกันดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ช่างเถอะ” นางไม่อยากไปนัก และตอนที่ไปครั้งก่อนเป็นลู่อู๋โยวที่รับนางกลับมา
เฮ่อหลันฉือสงบจิตใจก้มหน้าฝึกเขียนอักษร ผ่านไปครู่ใหญ่จึงพบว่าตนเองไม่ได้เขียนตามแผ่นเขียนอักษร แต่พู่กันตวัดเขียนอักษร ‘อู๋โยว’ ออกมาโดยไม่รู้ตัว นางชะงักพู่กันเล็กน้อยแล้วดึงกระดาษออกมา
หลังจากดูอยู่ครู่หนึ่งนางก็คิดคำนวณขึ้นมาทันใดว่าเขาจากไปนานเพียงใดแล้ว
เฮ่อหลันฉือจำได้ไม่ค่อยชัดเจน เวลาคล้ายยาวนานขึ้นอย่างไร้เหตุผล
แท้จริงแล้ววันเวลาตอนนี้กับก่อนที่นางและลู่อู๋โยวจะแต่งงานกันไม่แตกต่างกันมากนัก ถึงขั้นเพราะไม่ต้องกังวลว่าในจวนจะมีรายรับไม่พอรายจ่าย และไม่ต้องกังวลเรื่องชื่อเสียงการแต่งงานของตนเอง นางจึงผ่อนคลายมากขึ้น สามารถทำเรื่องที่นางอยากทำอย่างเป็นอิสระมากขึ้น
แต่พอถึงตอนบ่ายนางก็มักอดไม่ได้ที่จะมองไปทางประตูปราดหนึ่ง เหมือนว่าลู่อู๋โยวจะเดินเข้ามาจากตรงนั้นได้ทุกเมื่อ
ปกติเขาจะเดินเร็ว หลังเลิกงานแล้วจะคลายสาบเสื้อตรงไปเปลี่ยนชุดลำลองที่ห้องนอน พอเจอเฮ่อหลันฉือก็จะเลิกคิ้วยิ้ม พูดทักทายนาง จากนั้นก็ถามว่าคืนนี้พ่อครัวทำอะไร บางครั้งอารมณ์ดีก็จะเดินอ้อมมาจุมพิตนางครู่หนึ่งโดยไม่เลือกสถานที่
หากเฮ่อหลันฉือกำลังทำงานสำคัญบางครั้งก็จะรู้สึกรำคาญเล็กน้อย
ตอนนี้ไม่มีความรำคาญแล้ว แต่กลับมีความรู้สึกอ้างว้างอยู่หลายส่วน
ลู่อู๋โยวจากไปแล้ว คนที่มาเยี่ยมเยือนที่จวนจึงน้อยลงไปมาก เฮ่อหลันฉือเอาบทความที่อ่านจบก่อนหน้านี้ไปไว้ที่ห้องหนังสือของเขาทั้งหมด ทว่าต่อให้มีข้อสงสัยก็ไม่มีใครให้ถามแล้ว
นางนั่งอยู่ในห้องหนังสือของลู่อู๋โยวครู่หนึ่ง ก่อนจะตระหนักได้ว่าตนเองดูเหมือนจะเสียเวลาอยู่บ้างและทำอะไรที่ไร้ความหมาย ทั้งที่นางยังมีเรื่องมากมายที่สามารถทำได้
ซวงจือพูดเสนอความคิดอีกว่า “หรือว่าพวกเราจะไปเที่ยวชมธรรมชาติดีเจ้าคะ”
“ไม่จำเป็น ออกไปข้างนอกตอนนี้จะเพิ่มความยุ่งยากได้ง่าย”
พอลู่อู๋โยวจากไป คนที่มาด้อมๆ มองๆ หน้าประตูจวนก็มากขึ้น ไม่เพียงมีคนเจตนาไม่ดี ยังมีคนมารอดูเรื่องสนุกด้วย พวกเขาต่างรู้ว่าเฮ่อหลันฉือเป็นหญิงงามในเมืองหลวง ตอนนี้สามีเดินทางไกลหลายเดือน ไม่แปลกที่จะทำให้คนเกิดความคิดพูดจานินทาเหลวไหลเหล่านั้นออกมา
ซวงจือก้มหน้าลง “เช่นนั้นท่านอย่าเศร้าไปเลยเจ้าค่ะ”
เฮ่อหลันฉือพูดอย่างแปลกใจ “ข้าเศร้าใจเสียที่ใด” นางหยุดไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “อย่างมากก็เพียงเงียบเกินไปบ้างเท่านั้น”
“แต่…แต่ท่านไม่ได้ยิ้มนานแล้ว”
เฮ่อหลันฉือเข้าใจขึ้นหลายส่วนในทันที
ไม่เพียงแค่เงียบสงบ แต่ดูเหมือนวันเวลาจะทำให้รู้สึกอึดอัดน่าเบื่อขึ้นทุกทีตั้งแต่ใครบางคนจากไป
เหยาเชียนเสวี่ยรู้ว่าเฮ่อหลันฉือตัวคนเดียวยังตั้งใจมาเยี่ยม ลูบผมยาวของนางแล้วพูดปลอบว่า “คนเป็นขุนนาง ออกไปทำงานนอกบ้านเป็นเรื่องปกติมาก”
เฮ่อหลันฉือกลับพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้ารู้”
นางกระจ่างดีว่าบิดานางที่ผ่านมาวิ่งงานไปทั่วไม่ค่อยอยู่บ้านอย่างไรบ้าง
เหยาเชียนเสวี่ยเอ่ยเสริมอีกว่า “ถ้าเจ้ารู้สึกเบื่อ ข้าจะพาเจ้าไปร่วมงานเลี้ยงดีหรือไม่ ถึงแม้ระยะนี้ฝนจะตกบ่อย แต่ชมดอกไม้มองฝนในศาลาก็น่าสนุกไปอีกแบบนะ พวกนางยังจัดงานชุมนุมกวี งานชุมนุมพิณอะไรเหล่านี้ด้วย ถ้าเจ้าสนใจข้าจะช่วยไปขอเทียบเชิญมาให้”
เฮ่อหลันฉือคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ปฏิเสธไปทั้งหมด นางไม่อยากได้ความครึกครื้นจริงๆ
เหยาเชียนเสวี่ยจนปัญญา ทำได้เพียงเล่าข่าวซุบซิบนินทาบางอย่างให้เฮ่อหลันฉือฟัง ตอนพูดถึงเรื่องของคุณหนูรองสกุลเว่ยกับหลินจางยังพูดอย่างเบิกบาน
“ข้าหัวเราะแทบตายจริงๆ ถึงแม้คุณหนูรองจวนคังหนิงโหวผู้นั้นที่ผ่านมาจะปากไม่มีหูรูด แต่เจ้ารู้หรือไม่ นางกลับไปโอดครวญกับสหายสนิท บอกว่าคิดว่าคุณชายหลินอาจจะสมรรถภาพไม่ค่อยดี! บังเอิญคุณชายหลินได้ยินเข้า เขาดูเหมือนไม่อยากจะเชื่อและยังแก้ตัวอย่างร้อนรนว่าพวกเขาสองคนไม่ได้เข้าหอกันเลย คุณหนูรองจวนคังหนิงโหวกลับพูดอย่างมีเหตุผลเต็มเปี่ยมว่านี่ก็หมายความว่าเจ้าไม่มีสมรรถภาพมิใช่หรือ! แล้วทั้งสองคนก็ทะเลาะกันใหญ่โตขึ้นมาอีก…ถึงข่าวลือที่ออกมาอาจจะบิดเบือนไปบ้าง แต่ก็น่าขันเหลือเกินจริงๆ ทว่าพวกเขาแต่งงานมานานถึงเพียงนั้นยังไม่ได้เข้าหอ ไม่แน่ว่าคุณชายหลินอาจจะมีโรคอะไรก็ได้นะ!”
เฮ่อหลันฉือกลับแก้มแดงอย่างไร้สาเหตุ
โชคดีที่ข้ากับลู่อู๋โยวเข้าหอกันแล้ว แต่ว่า…
เฮ่อหลันฉือดึงสติกลับมาคิดดู เหตุใดไม่ว่าเรื่องอะไรนางจะต้องคิดไปถึงลู่อู๋โยวได้ แต่นางยังคงอดไม่ได้ที่จะถามไปหนึ่งประโยค
“หลังจากแต่งงานแล้วจะเข้าหอกันเร็วมากทุกคนหรือ”
เหยาเชียนเสวี่ยที่ยังไม่ได้แต่งงานพูดเหมือนคนที่เคยผ่านประสบการณ์ “นั่นแน่นอนอยู่แล้วสิ! ก็ต้องเข้าหอในคืนนั้นกันหมดมิใช่หรือ เจ้าคงไม่รู้ ครั้งก่อนคุณหนูบ้านบัณฑิตเล่าเรียนตำรามารยาท อาจเป็นเพราะไม่มีใครสอน คิดว่าเรื่องนั้นน่าอายเกินไป พอแต่งงานแล้วเป็นตายก็ไม่ยอมเข้าหอ ดึงเวลาไว้หนึ่งถึงสองเดือน สุดท้ายวุ่นวายจนเกือบจะถูกขอหย่าเลยทีเดียว”
เฮ่อหลันฉือ “…”
เหยาเชียนเสวี่ยยังพูดยกตัวอย่างต่อไป “คนบ้านเจ้าผู้นั้นคงเป็นเช่นเดียวกันกระมัง ก่อนแต่งงานเขารีบร้อนจะแต่งเจ้าเข้าบ้านถึงเพียงนั้น ข้าก็รู้สึกว่าเขาต้อง…แค่กๆๆ แต่ว่าเห็นแก่ที่เขาปฏิบัติต่อเจ้าไม่เลว ข้าก็จะไม่ถือสา”
เฮ่อหลันฉือตอนนี้ยังรู้สึกขัดเขินเล็กน้อย
ดูจากการแสดงออกของเขา นางคงจะทำให้เขาต้องอดกลั้นมานานมากจริงๆ
“แต่ครั้งนี้เขาออกจากบ้านนานถึงเพียงนี้ เจ้าต้องระวังสักนิดนะ เขียนจดหมายส่งของไปให้มากสักหน่อย อย่าให้เขาลืมเลือนเด็ดขาด คิดว่าอยู่ข้างนอกมีโอกาส…” เหยาเชียนเสวี่ยพูดกำชับตักเตือน
เฮ่อหลันฉือพยักหน้าคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ลู่อู๋โยวบอกนางว่าหากมีจดหมายก็สามารถไหว้วานตึกลมบูรพารุจีส่งไปได้ แต่ข้างกายนางไม่มีเรื่องน่าสนใจอะไร เขียนก็เขียนอะไรไม่ออก จะเขียนข่าวลือที่เหยาเชียนเสวี่ยเล่าให้นางฟังลงบนจดหมายคงไม่ได้กระมัง
ในชั่วขณะหนึ่งนางถึงขั้นไม่รู้จะทำเช่นไร และไม่รู้ว่าควรจะจรดปลายพู่กันหรือไม่
สุดท้ายเหยาเชียนเสวี่ยก็เล่าข่าวสนุกเรื่องอื่นให้เฮ่อหลันฉือฟังอีก ก่อนจะกอดนางแล้วเอ่ยว่า “เสี่ยวฉือ เช่นนั้นคราวหน้าข้าค่อยมาเยี่ยมเจ้าใหม่แล้วกันนะ”
Comments
