ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน อุบายรักลิขิตเสน่หา บทที่ 2
หลายวันต่อมาหลินจางเป็นฝ่ายเดินทางมาคารวะถึงที่จวน
เขาเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า ใบหน้าซีดเซียว หัวคิ้วขมวดเป็นปม ราวกับประสบเคราะห์ร้ายอย่างหนักในครอบครัว ไร้ซึ่งความยินดีที่สอบผ่านแบบเมื่อไม่กี่วันก่อนเลยแม้แต่น้อย มีแต่แววของความเศร้าเสียใจ
เวลานั้นเฮ่อหลันฉือกำลังอยู่บนหลังคา พอเห็นเขาก็ทอดถอนใจในอกอย่างอดไม่อยู่
ส่วนที่ว่าเหตุใดนางถึงอยู่บนหลังคานั้น…
ก็เพราะว่าเมื่อคืนนี้ฝนตก หลังจากผ่านฝนห่าใหญ่มาทั้งคืน หลังคาเก่าบนเรือนฝั่งตะวันตกของจวนเฮ่อหลันก็รั่วซึมทางด้านข้างอย่างไม่เป็นใจน่ะสิ
น้ำฝนไหลซึมลงมาตามร่องกระเบื้องและหยดเข้ามาในห้องของเฮ่อหลันฉือ นางตกใจตื่นเพราะเสียงฝน แล้วก็รู้สึกถึงความเย็นที่ซึมเข้ามาในร่างกาย จากนั้นก็เห็นซวงจือกำลังยกอ่างเล็กมารองน้ำที่มุมห้องด้วยสีหน้ายับยุ่ง
หลังคาของจวนเฮ่อหลันไม่ได้รั่วเป็นครั้งแรก
แม้จวนหลังนี้จะเป็นของพระราชทาน แต่ก็เป็นจวนขุนนางที่ถูกราชสำนักยึดทรัพย์ไว้และไม่ได้รับการทำนุบำรุงมานานปี ตอนพระราชทานก็ไม่ได้ถือโอกาสบูรณะซ่อมแซมให้ ทางจวนเฮ่อหลันไม่มีเงินมากพอ จึงอาศัยอยู่แก้ขัดเช่นนี้ไปก่อน ฉะนั้นมีลมแทรกฝนรั่วบ้างเป็นบางครั้งก็ถือเป็นเรื่องปกติ
ก่อนหน้านี้พวกเขาก็เคยจ้างช่างก่อสร้างมาสองครั้ง แค่ซ่อมแซมปะผุอย่างง่ายๆ เท่านั้น เฮ่อหลันฉือเคยมองดูอยู่หลายที รู้สึกเหมือนไม่ใช่เรื่องยากเย็นเท่าไร
หลังจากฟ้าสว่างฝนหยุดตกนางก็ให้ลุงชีเตรียมน้ำมันตั้งอิ้ว ไม้ กระเบื้อง และใบจากราคาถูกมาจำนวนหนึ่ง แล้วเปลี่ยนใส่ชุดขาว ม้วนแขนเสื้อขึ้น ถือเครื่องไม้เครื่องมือปีนขึ้นบันได ตัดสินใจว่าจะลองทำด้วยตนเอง
หากทำสำเร็จได้ ต่อไปก็สามารถประหยัดรายจ่ายไปอีกหนึ่งส่วน
ซวงจือพูดด้วยความหวาดผวาอยู่ใต้ชายคา “คุณหนู! อันตรายนะเจ้าคะ เรียกคนอื่นมาทำดีกว่า!”
“ไม่เป็นไร เจ้าช่วยไปเอาไม้มาให้ข้าอีกสองแผ่น”
เฮ่อหลันฉือยืนกราน สิ่งสำคัญคือการเตรียมการไว้ล่วงหน้า ถึงอย่างไรบิดานางก็เป็นขุนนางในราชสำนักต้ายง มีความเสี่ยงมากมาย นางคิดเสมอว่าเรียนรู้มากหน่อยไม่มีอะไรเสียหาย นอกจากนี้ตอนอยู่ที่ชิงโจวนางยังเคยเรียนทักษะแปลกๆ ที่อาจดูประหลาด แต่ผู้ใดจะรู้ว่ามันกลับใช้งานได้ในสักวันหนึ่ง
ขณะที่เฮ่อหลันฉือกำลังจัดการไม้ผุบนสันหลังคาอย่างระมัดระวัง หลินจางก็เดินเลี้ยวเข้ามาในจวนพอดี
นางหยุดการเคลื่อนไหว ยืดตัวยืนตรงโดยไม่รู้ตัว วางค้อนหินในมือบนยอดหลังคาเสียงดังตึง
หลินจางเงยหน้าขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียง และสบสายตากับเด็กสาวบนหลังคาพอดี
กิ่งต้นอวี้หลันหลายกิ่งข้างชายคาโน้มเอียงลงมา กลีบดอกยังคงเหมือนหยกสลักผิวเกลี้ยง กลิ่นหอมอบอวล ลมพัดกำจายไปทั่ว เด็กสาวยืนตรงอย่างสะโอดสะอง แม้กระโปรงจะเปื้อนสีเข้ม แต่ยังให้ความรู้สึกงดงามปานไข่มุกที่ปกคลุมด้วยฝุ่น ทั้งตัวอาบแสงฤดูใบไม้ผลิอันเฉิดฉาย งามยิ่งกว่าคนในภาพวาดเสียอีก
หลินจางเหม่อลอยไปชั่วขณะ เมื่อได้สติใบหน้าก็ยิ่งขาวซีดกว่าเดิม เขาก้มหน้าอย่างละอายใจ เบี่ยงตัวหันหนีไม่กล้ามองนาง ประหนึ่งว่าตนกลายเป็นคนแปดเปื้อนไปแล้ว ไม่คู่ควรจะสัมผัสลมบริสุทธิ์จันทร์กระจ่างอีกต่อไป
แม้เฮ่อหลันฉือจะไม่เคยมีความรู้สึกฉันชู้สาวกับเขา แต่ก็บังเกิดความเห็นใจอย่างคนร่วมชะตาเดียวกันที่ถูกชนชั้นสูงบีบบังคับ
บุตรสาวขุนนางธรรมดาต่อให้ตายก็ไม่มีทางทำเรื่องแย่งชิงบุรุษด้วยกำลังเช่นนี้แน่ ทว่าประยูรญาติคนโปรดกลับเป็นข้อยกเว้น อย่างเช่นเว่ยอวิ้น คุณหนูรองจวนคังหนิงโหว
มารดาผู้ให้กำเนิดนางเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ตั้งแต่เล็กนางจึงได้รับการเลี้ยงดูจากองค์หญิงใหญ่สวินหยางผู้เป็นยาย องค์หญิงใหญ่ผู้นี้เป็นพี่สาวร่วมอุทรกับฮ่องเต้ พี่สาวคนโตเสมือนมารดา ในอดีตที่ฮ่องเต้ก้าวขึ้นมาครองราชบัลลังก์ได้ก็ด้วยอาศัยการสนับสนุนจากองค์หญิงใหญ่ผู้นี้
องค์หญิงใหญ่สวินหยางเป็นคนอารมณ์รุนแรงมาตั้งแต่ยังเยาว์ กล้าบอกหย่าพระสวามีโดยที่ยังเชิดหน้าผ่าเผย เผชิญกับข้อพิพาทในราชสำนักอย่างเฉยชา เมื่อเติบโตขึ้นมาอำนาจแข็งแกร่งขึ้น ย่อมทะนุถนอมหวงแหนหลานสาวกำพร้าที่เกิดจากบุตรสาวเพียงคนเดียวของตนราวกับไข่ในหิน ดูแลยิ่งกว่าองค์หญิงในวัง ทั้งยังบ่มเพาะนิสัยอวดดีจองหองทำตัวเหนือกฎหมายให้แก่คุณหนูรองจวนคังหนิงโหวอีกด้วย ฉะนั้นหลินจางคงต้องทนรับความทุกข์ระทมนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้
ต่อให้เขาไม่ยอมแต่งงานกับคุณหนูรองจวนคังหนิงโหว แต่ด้วยเกรงกลัวต่ออำนาจขององค์หญิงใหญ่สวินหยาง น้อยคนที่จะกล้าส่งหญิงสาวในบ้านตนเองไปแต่งงานกับเขาอีก เพราะถึงอย่างไรนายหญิงน้อยของจวนคังหนิงโหวคนนั้นก็ต้องอยากแต่งงานสักวันหนึ่ง ใช้เรื่องนี้ข่มขู่บีบบังคับให้เขาบ้านแตกสาแหรกขาดก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้เสียเลย
เฮ่อหลันฉือถอนใจในอก นางย่อมรู้ว่าตอนนี้นางไม่ควรจะพูดอะไรทั้งสิ้น
เรื่องแต่งงานนี้มีเพียงหลินจางกับบิดานางที่รู้ พวกเขาหารือกันแล้วเรื่องนี้ก็เป็นอันจบ นางเป็นสตรีในห้องหอ ไม่ควรรับรู้สิ่งใด แต่ในยามนี้นางอดรนทนไม่ไหวแล้ว
เฮ่อหลันฉือใคร่ครวญซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนจะตัดสินใจเรียกตามแผ่นหลังของหลินจางซึ่งกำลังจะลับตาไปใต้หลังคาระเบียง
“คุณชายหลิน”
นี่เป็นครั้งแรกที่นางเป็นฝ่ายเรียกเขาก่อน
หลินจางหยุดชะงัก
เฮ่อหลันฉือพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเจ้า คุณชายหลินไม่จำเป็นต้องตำหนิตนเอง”
หลินจางหัวไหล่สั่นไหว งอนิ้วเป็นกำปั้นคล้ายว่ากำลังพยายามอดกลั้น จากนั้นจึงค่อยๆ คลายออก ราวกับผ่านไปนานแต่ก็เหมือนเพียงชั่วพริบตา เขาสูดลมหายใจลึกแล้วเอ่ยขึ้น
“ขอบคุณคุณหนูเฮ่อหลันมาก”
ในน้ำเสียงเจือแววสะอื้น พูดจบร่างของหลินจางก็ลับหายไปใต้หลังคาระเบียง
Comments
