ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน อุบายรักลิขิตเสน่หา บทที่ 2
ภาพที่เห็นนั้นทำให้คนเศร้าใจอย่างมิอาจเลี่ยง แต่เสียดายที่อึดใจต่อมาอารมณ์ของเฮ่อหลันฉือก็ถูกอีกเสียงหนึ่งทำลายไปสิ้น
“คุณหนูเฮ่อหลัน ขออภัยที่ข้าละลาบละล้วง ถึงแม้ทิวทัศน์บนหลังคาจะงามดี แต่ลื่นล้มพลัดตกได้ง่ายนะ”
เฮ่อหลันฉือหันขวับกลับไป จึงเห็นคนผู้หนึ่งยืนอยู่ที่หน้าประตู
“…?”
เหตุใดเขายังมีหน้าตามมาอีก
ผู้มาเยือนกลอกตากลับมา ดวงตาดอกท้อหลุบลง สีหน้าราบเรียบไม่มีวี่แววแย้มยิ้ม อย่างน้อยก็ดูไม่เหมือนคนที่มาชมเรื่องสนุกของผู้อื่น
ตรงนี้มีเพียงพวกเขาสองคน เฮ่อหลันฉืออดพูดไม่ได้ว่า “เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับเจ้า”
ถึงแม้นางจะไม่ถูกกับเขามาตลอด แต่อย่างน้อยก็ยังรักษามารยาทภายนอกอยู่เสมอ น้อยครั้งจะพูดจากระแทกแดกดันเสียงแข็งเหมือนเช่นตอนนี้ แตกต่างกับน้ำเสียงแผ่วเบานุ่มนวลยามพูดคุยกับหลินจางเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง
ลู่อู๋โยวนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “คุณหนูเฮ่อหลันกำลังเอาความโกรธมาลงที่ข้า หรือว่า…เจ้าคิดว่าข้าทำให้เขาเป็นเช่นนี้?”
เฮ่อหลันฉือพยายามทำให้น้ำเสียงตนเองเรียบนิ่ง “ได้ข่าวมาว่าเดิมทีคนที่คุณหนูรองจวนคังหนิงโหวต้องการจับก็คือเจ้า”
ลู่อู๋โยวหัวเราะเบาๆ “แสดงว่าพอคนที่ถูกจับเป็นเขาไม่ใช่ข้า เลยทำให้เจ้ารู้สึกเสียดายเช่นนั้นหรือ ข้าไม่ยักรู้ว่าที่แท้เจ้าชอบเขาถึงเพียงนี้ ต้องขออภัยจริงๆ” แม้เขาจะหัวเราะ ทว่าน้ำเสียงกลับไม่มีร่องรอยขบขันแม้แต่น้อย
เฮ่อหลันฉือฟังออกว่าเขาอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก แม้เป็นไปได้ที่จะเป็นการเสแสร้งแกล้งทำ แต่นางยังคงลังเลไปชั่วขณะ
“แต่ในเมื่อเจ้ามีทางหลบหลีกได้ เหตุใดถึงไม่ช่วย…”
ลู่อู๋โยวเหยียดริมฝีปาก พูดแฝงนัยประชด “หากข้าบอกว่าเป็นเหตุบังเอิญ คุณหนูเฮ่อหลันจะเชื่อหรือไม่”
“บอกตามตรงว่าข้าไม่เชื่อเท่าไร”
ตามปกติแล้วบทสนทนาของพวกเขาดำเนินมาถึงตรงนี้ก็คงสิ้นสุด
ที่จริงลู่อู๋โยวไม่ได้แยแสว่าเฮ่อหลันฉือจะมองเขาเช่นไร แต่เขาไม่ชอบใจที่ถูกใส่ร้าย โดยเฉพาะเรื่องนี้เขาเองก็ไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง
“อยากให้เขาแต่งงานกับเจ้าไม่ได้นั้นมีหนทางถมเถ ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีทำร้ายคนโดยไม่ได้ประโยชน์เช่นนี้” นัยเสียดสีในน้ำเสียงของลู่อู๋โยวชัดเจนขึ้นหลายส่วน “คุณหนูเฮ่อหลัน ถึงแม้ข้าจะเรียกไม่ได้ว่าเป็นวิญญูชนโดยเนื้อแท้อะไร แต่ข้าเคยหลอกลวงเจ้าเมื่อไรกัน”
เฮ่อหลันฉือย้อนนึกอย่างรวดเร็ว แล้วก็โต้ตอบอย่างว่องไว “วันนั้นที่วัดเจวี๋ยเยวี่ย เจ้ารับปากว่าถ้าเจอซื่อจื่อของเฉากั๋วกงจะช่วยขวางเขาไว้ให้ แต่เจ้าไม่เห็นช่วย”
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาลู่อู๋โยวก็ฉีกยิ้มหัวเราะกะทันหัน
เฮ่อหลันฉือกำลังคิดจะพูดอะไรต่อเสียงอันทรงพลังพลันดังขึ้นสั่นสะเทือนแก้วหู
“เสี่ยวฉือ! เจ้าไปทำอะไรบนหลังคา! ถ้าเผลอตกลงมาจะทำอย่างไร!”
เฮ่อหลันเจี่ยนมองนางตาถลน กรงนกร่วงหล่นจากมือ
เฮ่อหลันฉือตกใจเสียงตะโกนนั้น ลำตัวโงนเงนเล็กน้อย แผ่นกระเบื้องที่ไม่ได้เรื่องใต้ฝ่าเท้าเลื่อนไถลฉับพลัน แม้นางจะมือเท้าไวยื่นไปเกาะกิ่งไม้ด้านข้างทัน แต่ยังยากจะหยุดยั้งไม่ให้ตัวไถลลงไป
“เสี่ยวฉือ! ไม่ต้องกลัว! ข้ามาช่วยแล้ว!”
เสียงของเฮ่อหลันเจี่ยนดังจนนางเกือบจะลื่นลงไปอีกรอบ
จังหวะนั้นเองจู่ๆ เฮ่อหลันฉือก็รู้สึกได้ว่าใต้เท้ามีแรงส่งดันนางขึ้นไป แล้วอึดใจต่อมานางก็กลับไปยืนบนหลังคาได้อย่างมั่นคงอีกครั้ง
เฮ่อหลันฉือ “…!”
เสียงลู่อู๋โยวดังขึ้น ฟังดูอ่อนโยนเป็นมิตรสุดขีดต่างจากก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง “เมื่อครู่ก็เตือนคุณหนูเฮ่อหลันแล้วว่าบนหลังคาอันตราย” เขาถึงกับถอนหายใจเหมือนเป็นกังวลอย่างยิ่ง
…ใช่แล้ว ตราบใดที่มีบุคคลที่สามอยู่ด้วย เขาไม่มีทางพูดด้วยน้ำเสียงแปลกแปร่งเช่นก่อนหน้านี้เป็นอันขาด
เฮ่อหลันฉือเรียกขวัญกลับคืนมาได้ แรงส่งใต้เท้านั้นชัดเจน นางแน่ใจว่านางไม่ได้คิดไปเอง มีคนช่วยนางไว้จริงๆ
สายตาของนางเลื่อนผ่านจากร่างเฮ่อหลันเจี่ยนมาจับยังคนที่เหลือเพียงคนเดียวในที่นี้…ลู่อู๋โยว
“…เมื่อครู่เป็นเจ้าหรือ”
“เป็นข้าเอง” ลู่อู๋โยวตอบรับอย่างไม่เกรงใจ พร้อมกับแสดงคารวะเต็มรูปแบบ กิริยานอบน้อม น้ำเสียงอ่อนละมุน “คุณหนูเฮ่อหลันคงจะเชื่อว่าข้าไม่มีเจตนาจะทำร้ายผู้ใดแล้วกระมัง”
แม้เฮ่อหลันฉือจะยังคงไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายทำได้อย่างไร แต่ในเมื่อเขาพูดเช่นนี้ นางก็ไม่ควรทำตัวลืมบุญคุณซึ่งๆ หน้า ได้แต่ตอบรับไปอย่างคาใจ
“เช่นนั้นก็…ขอบคุณคุณชายลู่มาก”
สายตาสงสัยของเฮ่อหลันเจี่ยนกวาดผ่านร่างคนทั้งสอง
ลู่อู๋โยวสะบัดแขนเสื้อ ทำท่าว่าจะถอยกลับไปที่ห้องเฝ้ายามข้างประตู แต่ชั่วขณะที่กำลังจะหันตัวไปเขาเหมือนนึกอะไรบางอย่างได้ มุมปากเหยียดโค้งแล้วเอ่ยขึ้น
“…เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าวันนั้นข้าไม่ขัดขวาง”
เฮ่อหลันฉือ “…?”
เฮ่อหลันเจี่ยนที่มองอยู่ด้านข้าง “?”
“มีเรื่องอะไรกัน มีอะไรที่พี่ชายของเจ้ารู้ไม่ได้เช่นนั้นหรือ” เฮ่อหลันเจี่ยนว่า
ความคิดอ่านลึกซึ้งของเฮ่อหลันฉือถูกเขาขัดจังหวะ “…ใช่ ถูกต้อง”
“?” เฮ่อหลันเจี่ยนยังคงงุนงง ครั้นตั้งสติกลับมาได้ เห็นน้องสาวยังอยู่บนหลังคาก็พูดอย่างลนลาน “เสี่ยวฉือ! เจ้ารีบลงมาเร็วเข้า! ขึ้นไปทำอะไรบนหลังคา! มันอันตรายนะ! มีอะไรก็ให้ข้าทำสิ…”
เฮ่อหลันฉืออ่อนใจ กลัวว่าจะถูกพี่ชายตะโกนใส่จนเท้าเสียหลักอีก จึงได้แต่ไต่บันไดลงมา
เวลานี้หลินจางเดินเลี้ยวออกมาจากห้องหนังสือของบิดานางแล้ว เขาหลุบตาต่ำ ฝีเท้าหนักอึ้ง ประหนึ่งวิญญาณหลุดจากร่าง
สำนักตรวจการข่าวสารว่องไว เฮ่อหลันจิ่นย่อมทราบที่มาที่ไปของเรื่องราวแล้ว เมื่อหลินจางมาหา เขาก็ไม่พูดอะไร ได้แต่โบกมือกล่าวว่า ‘ข้ารู้หมดแล้ว น่าเสียดายที่เจ้ากับบุตรสาวข้าไม่มีชะตาต่อกัน’
คุณหนูรองจวนคังหนิงโหวกับซื่อจื่อของเฉากั๋วกงไม่เหมือนกัน ตราบใดที่องค์หญิงใหญ่สวินหยางยังอยู่ก็ฟ้องร้องไม่ได้ อีกทั้งเรื่องนี้ถึงที่สุดแล้วคนที่เสียเปรียบก็คือฝ่ายหญิง
หลินจางโค้งตัวประสานมือคารวะต่ำสุดเท่าที่จะทำได้
เมื่อเดินมาถึงประตูหลินจางถึงค่อยฝืนยิ้มให้ลู่อู๋โยว “ขอบคุณจี้อันที่มาเป็นเพื่อนข้า หากยามนี้ข้ามาคนเดียวเกรงว่าจะทำให้ชื่อเสียงของคุณหนูเฮ่อหลันด่างพร้อย”
ลู่อู๋โยวอยากจะพูดถ้อยคำทำนองว่า ‘ชายชาตรีไยต้องกลัวไร้ภรรยา’ เพราะเขาคิดเช่นนั้นจริง จะแต่งกับใคร ไม่แต่งกับใครมีอันใดแตกต่าง เรื่องที่ทำให้เขาไม่พอใจคือถูกคนวางแผนปองร้ายต่างหาก แต่พอเห็นท่าทางของหลินจางแล้วก็รู้ว่าไม่เหมาะสม เขาจึงไม่ได้พูดออกไป
เดินออกไปได้ไม่กี่ก้าวลู่อู๋โยวถึงค่อยเอ่ยขึ้นเหมือนไม่ตั้งใจ “ไม่ทราบว่าคนโง่อย่างข้าจะขอละลาบละล้วงถามเรื่องหนึ่งได้หรือไม่”
หลินจางหัวเราะขื่น “จี้อันถามมาเถิด”
“เซ่าเยี่ยนพึงใจคุณหนูเฮ่อหลันตรงที่ใดกันแน่”
หลินจางไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะถามคำถามนี้ เขานิ่งงันไป เบื้องหน้าราวกับปรากฏภาพฉากเหตุการณ์ยามเจอเฮ่อหลันฉือเป็นครั้งแรก
นั่นมิอาจบรรยายแค่คำว่าตกตะลึง แต่เรียกว่าตะลึงพรึงเพริดโดยแท้ บนโลกมีสตรีหน้าตาเช่นนี้ด้วยหรือ แม้แต่ในฝันก็ยังสรรค์สร้างออกมาไม่ได้ ทีแรกเขาก็หลงใหลไปกับรูปโฉม ต่อมาจึงพบว่านางเพียบพร้อมทั้งความรู้และจรรยา นิสัยใจคออ่อนโยน ตลอดร่างไร้ซึ่งลักษณะธรรมดาสามัญ ยากที่ใจจะไม่บังเกิดความชื่นชม
แน่นอนว่าการวิจารณ์รูปโฉมของสตรีเป็นสิ่งไม่เหมาะสม หลินจางจึงข้ามช่วงครึ่งแรกไป
ลู่อู๋โยวฟังคำบรรยายของหลินจางที่ยิ่งพูดยิ่งเศร้าซึมพลางนึกถึงเฮ่อหลันฉือที่เขาเคยรู้จักก็เงียบงันไปครู่หนึ่ง…
ตอนที่นางซ่อมหลังคานั้นก็นับว่าไม่ธรรมดาสามัญจริงๆ
ลู่อู๋โยวรู้ว่าถึงเกลี้ยกล่อมไปก็ไร้ประโยชน์ จึงถามหลินจางว่าตั้งใจจะทำเช่นไรต่อไป
หลินจางเองก็ยังสับสน
สำหรับตัวเขา แม้จะมีสายสนกลในซึ่งทำให้เกิดสถานการณ์ที่เขานอนร่วมเตียงกับสตรีในสภาพเสื้อผ้าไม่เรียบร้อยเช่นนี้ก็ตาม แต่เขาไม่มีทางปัดความรับผิดชอบโดยเด็ดขาด คงต้องรีบกลับไปรายงานที่บ้าน แล้วจึงไปดำเนินการสู่ขอให้เรียบร้อยเพื่อรักษาชื่อเสียงเกียรติยศของฝ่ายหญิง
แต่เขาไม่เต็มใจ ส่วนคุณหนูรองผู้นั้นก็ไม่ยินดี
ข้างหูเขายังเหมือนได้ยินเสียงคุณหนูรองสกุลเว่ยผู้นั้นตะโกนพลางร่ำไห้ ‘ข้าไม่อยากแต่งกับเขา! แค่ถือเสียว่าเมื่อคืนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเถอะ! ให้เขาไปเสีย! ให้เขาไปเดี๋ยวนี้! โยนออกไปทางประตูหลังเลย! ข้าไม่อยากเห็นเขาอีก…’
ในชีวิตของหลินจางไม่เคยพานพบเหตุการณ์ที่เหลวไหลไร้สาระเช่นนี้มาก่อน
คังหนิงโหวกลับลูบเคราด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ‘คุณชายหลิน เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้ากลับจวนไปเตรียมการสอบหน้าพระที่นั่งก่อนเถิด สอบเสร็จเมื่อไรข้าค่อยส่งคนไปที่จวนของเจ้าเพื่อหารือว่าควรจัดการเรื่องนี้เช่นไร’
หลินจางกลับมาด้วยความสับสนงุนงง ค่อยมาตระหนักได้ในภายหลังว่าตนกับคุณหนูเฮ่อหลันไร้วาสนาจะได้อยู่ด้วยกันอีกแล้วในช่วงชีวิตนี้
เขาขยับริมฝีปากแล้วเอ่ยว่า “เรื่องนี้ข้าควบคุมอะไรไม่ได้ การแต่งงานนั้น…ต้องให้บิดามารดาตัดสินใจ”
ในถ้อยคำนั้นแฝงความไม่พอใจซึ่งแม้แต่ตัวหลินจางเองก็ไม่ทันสังเกต
“เซ่าเยี่ยน” ลู่อู๋โยวเอ่ยปากขึ้นมากะทันหัน “มากน้อยอย่างไรเรื่องนี้ก็มีต้นเหตุมาจากข้า…”
หลินจางรีบพูด “เรื่องนี้โทษเจ้าไม่ได้…”
ลู่อู๋โยวหัวเราะเบาๆ อยากจะบอกไปว่าเขาก็ไม่ได้กำลังตำหนิตนเอง “ถ้าเจ้าไม่อยากแต่งงานกับคุณหนูรองผู้นั้นจริงๆ แต่มุ่งมั่นจะแต่งกับ…” เขาหยุดนิดหนึ่ง “คุณหนูเฮ่อหลัน ใช่ว่าข้าจะช่วยเจ้าคิดหาทางไม่ได้”
น้ำเสียงเขาหนักแน่น ไม่เหมือนกำลังล้อเล่นแต่อย่างใด
หลินจางตะลึงงัน เขารู้ชาติกำเนิดของลู่อู๋โยว ซึ่งลู่อู๋โยวก็ไม่ได้ปิดบังเรื่องนี้แม้แต่น้อย บิดามารดาของลู่อู๋โยวล้วนมิใช่คนในวงขุนนาง มีแค่ตาผู้หนึ่งซึ่งเป็นพี่ชายของตาแท้ๆ ทำงานในกรมโยธา แม้ความรู้ความสามารถของลู่อู๋โยวจะเป็นที่ประจักษ์ แต่ถึงจะเก่งกาจเช่นไรยามนี้ก็เป็นได้แค่บัณฑิต
หรือว่าเขาคิดจะไปแต่งงานกับคุณหนูรองจวนคังหนิงโหวแทนข้า
สายตาที่หลินจางมองลู่อู๋โยวเปลี่ยนไป
“ขอบคุณจี้อันมาก น้ำใจนี้ข้ารับไว้ด้วยใจแล้ว! แต่เรื่องนี้จะทำให้เจ้าเดือดร้อนไปด้วยไม่ได้เด็ดขาด!” หลินจางพูดเสียงเศร้า “บางทีข้ากับคุณหนูเฮ่อหลันคงไม่มีวาสนาต่อกัน”
ลู่อู๋โยวคิดว่าอีกฝ่ายอาจจะเข้าใจผิดไป แต่ว่า…
“เช่นนั้นก็แล้วไปเถิด” พูดจบเขาเองก็ผ่อนลมหายใจโดยไม่มีสาเหตุ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 1 มี.ค. 68
Comments
