ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน อุบายรักลิขิตเสน่หา บทที่ 29
ลู่อู๋โยวเช็ดมือพลางเอ่ยขึ้น “นั่นเป็นเพราะเมื่อก่อนเจ้าไม่มีโอกาสเท่านั้นเอง ไม่ใช่เจ้าทำไม่ได้ โลกนี้ไม่ถือว่ามีความยุติธรรม มีเรื่องมากมายที่ตั้งแต่เกิดมาก็ถูกกำหนดไว้แล้ว ถ้าเซียวหนานสวินไม่ได้เกิดในราชวงศ์ ข้าคงไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย ครอบครัวยากจนทำได้เพียงเรียนหนังสือ พระประยูรญาติที่มีความดีความชอบแต่งตั้งตำแหน่งได้ นี่ไม่มีเหตุผลเลย แต่ยังดีที่มีการสอบเคอจวี่ ขอเพียงมุ่งมั่นและมีความสามารถมากพอ แม้จะเป็นเพียงคนธรรมดาก็สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตได้ แต่ว่า…” เขาวางมือลง “สตรีนั้นไม่เหมือนกัน ตอนนั้นที่สำนักศึกษาเจียงหลิวมีคนจำนวนไม่น้อยที่ความรู้เทียบเจ้าไม่ได้ แต่ต่างก็ทยอยสอบผ่าน และมีคนที่ได้เป็นขุนนาง ต่อให้อำนาจจะเทียบเท่าองค์หญิงใหญ่สวินหยาง อยู่ข้างกายรัชทายาทได้ แต่เรื่องในราชสำนักยังคงไม่สะดวกจะยื่นมือเข้าแทรกได้โดยตรง ต้องยืมมือผู้อื่น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสตรีคนอื่นๆ เลย”
เฮ่อหลันฉือตกตะลึงไปครู่หนึ่งเช่นกัน
เรื่องที่ลู่อู๋โยวพูดนางรู้นานแล้ว นี่เป็นจุดที่นางเคยรู้สึกยอมไม่ได้ในอดีตเช่นกัน ดูเหมือนไม่ว่าจะพยายามเพียงใด ชีวิตของนางก็ทำได้เพียงออกเรือน ช่วยสามีเลี้ยงดูบุตร เรียบง่ายชนิดที่มองปราดเดียวก็ถึงปลายทางแล้ว
ที่อาจจะแตกต่างกันก็มีเพียงนางแต่งงานกับคนที่ให้เกียรติและเคารพรักนางหรือแต่งงานกับคนที่เห็นนางเป็นของเล่นเท่านั้น
นางดิ้นรนหาเส้นทางที่สามไม่ได้เลย
ลู่อู๋โยวพูดอีกว่า “แต่ภายในขอบเขตความสามารถของข้า ขอเพียงเจ้ามีความสามารถเพียงพอ เจ้าจะทำอะไรก็ได้”
เขาพูดอย่างไม่ใส่ใจนัก ถึงขั้นพูดจบยังหยิบเนื้อย่างอีกหนึ่งแท่ง ปล่อยให้เฮ่อหลันฉือสงสัยว่าที่เขาเช็ดนิ้วมือเมื่อครู่หมายความว่าอย่างไร
กลิ่นหอมควันไขมันกระจายไปทั่ว เสียงมันแตกดังเปรี๊ยะปร๊ะ
เฮ่อหลันฉือเองก็ถือเนื้อไว้หนึ่งแท่ง กัดไปสองคำก็พูดพึมพำว่า “เจ้าดีต่อข้าเกินไปแล้วกระมัง…”
ลู่อู๋โยวกินเนื้ออีกหนึ่งชิ้นอย่างสบายใจแล้วเอ่ยขึ้น “ก็ข้าแต่งด้วยแล้ว…”
ได้ยินเขาพูดเช่นนี้เฮ่อหลันฉือก็วางเหล็กเสียบเนื้อลง “ถ้าเจ้าแต่งงานกับคนอื่นเล่า ก็จะ…”
ที่ผ่านมาเฮ่อหลันฉือคิดถึงเรื่องนี้น้อยมาก คิดว่าในเมื่อมาแล้วก็อยู่ที่นี่อย่างสบายใจ ทั้งหมดนี้ล้วนกลายเป็นเรื่องจริงแล้ว ไปคิดถึงการสมมติหรือตั้งแง่อะไรเหล่านั้นย่อมไม่มีความหมายอันใดเลย นางแต่งงานกับลู่อู๋โยวแล้ว ไม่มีทางเป็นคนอื่นได้
ตอนนี้นางกับลู่อู๋โยวก็ค่อยๆ สนิทกันมากขึ้น ไม่มีการแต่งงานที่ดีกว่านี้อีกแล้ว
แต่อย่างไรที่มาก็ไม่ถูกต้อง ไม่ได้ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน
หากเซียวหนานสวินวางยาคนอื่น หากคืนนั้นคนที่มาเจอกับลู่อู๋โยวเป็นหญิงอื่น เขาจะแต่งงานกับอีกฝ่าย และทุ่มเทแรงใจแรงกายปกป้องอีกฝ่ายทุกอย่างเช่นนี้หรือไม่
หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่งเฮ่อหลันฉือก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออกเล็กน้อย นางเริ่มรับรู้ถึงการหาปัญหาใส่ตัวขึ้นมาแล้ว
ลู่อู๋โยววางแท่งเหล็กลง ทันใดนั้นก็หันหน้ามามองนางแล้วเอ่ยว่า “ในที่สุดเจ้าก็เริ่มใคร่ครวญถึงเรื่องนี้แล้วหรือ”
เฮ่อหลันฉืองุนงงเล็กน้อย “…?”
ลู่อู๋โยวเปลี่ยนเรื่อง หางตายังปรากฏรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย “ตอนนั้นเจ้าตอบว่าอย่างไรนะ ‘แต่ว่าเป็นเจ้าแล้วนี่ หาใช่คนอื่น’ ”
เฮ่อหลันฉือถอนใจ “เจ้าไม่ต้องความจำดีถึงเพียงนี้ก็ได้! ถือเสียว่าข้าไม่ได้ถามนะ!”
“เช่นนั้นไม่ได้ ข้ายังคิดว่าเจ้าจะเป็นดั่งดาบหอกฟันแทงไม่เข้า มีทิฐิดื้อรั้นจริงๆ เสียอีก”
เฮ่อหลันฉืออดไม่ได้ที่จะพูดว่า “นี่พูดถึงตัวเจ้าเองมิใช่หรือ”
ลู่อู๋โยวมองนางด้วยแววตาลึกล้ำ “ไม่เช่นนั้นเจ้าคิดว่าตอนนั้นข้าสับสนเรื่องอะไร เฮ่อหลันฉือ เจ้าไม่มีหัวใจ”
นี่เป็นคำกล่าวหาไร้สาระอะไร
นางเอ่ยขึ้นว่า “ถ้าไม่มีหัวใจข้าคงตายไปแล้ว”
ลู่อู๋โยวหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดนิ้วมือทีละนิ้วอีกครั้ง หลุบตาลงแล้วกล่าวว่า “แกล้งโง่”
เฮ่อหลันฉืออดรนทนไม่ไหว “เจ้ากินหนึ่งแท่งแล้วเช็ดนิ้วมือหนึ่งครั้งเช่นนี้ไม่เหนื่อยบ้างหรือ…”
“เจ้าเปลี่ยนหัวข้อสนทนาชัดเจนเกินไปหน่อยนะ” ลู่อู๋โยวเช็ดอย่างช้าๆ “ถ้าคิดว่าข้าดีจริง ลองใคร่ครวญอย่างอื่นนอกจากเตียง…”
ยังพูดไม่ทันจบโจวหนิงอันที่อยู่ตรงประตูก็ยื่นศีรษะออกมา พูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสลดว่า “พี่ชาย ข้าไม่พูดจาเหลวไหลแล้ว ท่านแบ่งให้ข้าอีกสองแท่งเถอะ ข้ายังกินไม่อิ่มเลย…” เวลานี้เด็กหนุ่มดูแล้วน่ารักเป็นพิเศษ
จากนั้นไม่นานก็กลายเป็นสามคนนั่งอยู่ข้างกระถางไฟ ย่างเนื้อไปพลางกินไปพลาง
ภาพเหตุการณ์นี้ให้ความรู้สึกอบอุ่นกลมเกลียวกันอย่างน่าประหลาด
โจวหนิงอันกินของคนอื่นปากก็อ่อน พูดชมอีกยกใหญ่ สุดท้ายยังพูดอีกหลายประโยค “จริงสิ ได้ยินว่าที่ห่วงโจวนี่ยังมีอาหารที่เรียกว่า ‘น้ำแกงโบราณ’* รับวัฒนธรรมมาจากเป่ยตี๋ เอาเนื้อแพะหั่นเป็นชิ้นบางๆ ลวกในหม้อที่กำลังต้มอาหารป่ารสเลิศ กินไปลวกไป ยังมีน้ำจิ้มด้วย…” เขาพูดไปพูดมาน้ำลายก็ไหลลงมาอีกครั้ง
ลู่อู๋โยวพูดอย่างไม่ใส่ใจ “เจ้ามาช่วยหรือว่ามาขอข้าวกิน…”
เฮ่อหลันฉือกลับครุ่นคิดแล้วเอ่ยว่า “ยังมีอาหารเช่นนี้ด้วยหรือ ครั้งหน้าข้าจะลองไปถามดู”
โจวหนิงอันเมินลู่อู๋โยวแล้วเอ่ยว่า “พี่สะใภ้ดีจริง! คนงามจิตใจดี! ภายนอกภายในเป็นเช่นเดียวกัน!”
ความหมายนอกเหนือคำพูดนั้นชัดเจนเป็นพิเศษ
ลู่อู๋โยวชำเลืองมองเด็กหนุ่มอย่างเย็นชาแล้วเอ่ยเตือน “ระวังคำพูดด้วย”
ถึงแม้เฮ่อหลันฉือจะรู้ว่าเป็นเพราะลู่อู๋โยวมีความสัมพันธ์อันดีกับครอบครัวจึงได้ทำเช่นนี้ แต่นางยังคงพยายามจะลองพูดให้นุ่มนวลลง
“แต่ ‘น้ำแกงโบราณ’ นี้ฟังดูแล้วท่าทางจะน่ากินมากนะ”
โจวหนิงอันรีบพูดสำทับ “ถูกต้อง! ได้ยินว่ารสชาติดีมาก…”
สองคนคนหนึ่งร้องคนหนึ่งรับ
ลู่อู๋โยวดีดศีรษะเจ้าเด็กบ้าแล้วพูดกับเฮ่อหลันฉือ “เขาเป็นบุตรชายเจ้าหรือ เจ้าจึงรักเอาใจเขาถึงเพียงนี้”
เฮ่อหลันฉือ “…?”
โจวหนิงอันกุมศีรษะ หลบไปข้างกายเฮ่อหลันฉือแล้วทำเป็นไม่รู้ยางอาย เข้าสู่บทบาทอย่างรวดเร็ว “ท่านแม่ ท่านพ่อเขารังแกข้า!”
เฮ่อหลันฉือพูดอย่างลำบากใจ “…เจ้าตัวโตเกินไปแล้ว”
ข้าให้กำเนิดไม่ได้จริงๆ
ลู่อู๋โยวลุกขึ้นคว้าตัวเขา “กินพอแล้วก็กลับไปอ่านหนังสือ ‘ตำรามหาศาสตร์’* ท่องถึงบทที่เท่าไรแล้ว ไม่เช่นนั้นข้าก็ไม่ถือที่จะให้เจ้าได้รู้ว่าอะไรคือกำเนิดลูกกตัญญูภายใต้กระบองไม้เรียว”
โจวหนิงอันพูดขัดขืน “ข้าไม่ท่องหนังสือ! ท่านโหดร้ายมาก! เลือดเย็นไร้ปรานี! ท่านแม่ช่วยข้าด้วย!”
ช่างเถอะ
เฮ่อหลันฉือทำได้เพียงถอนใจแล้วหยิบเนื้อย่างขึ้นมาอีกหนึ่งแท่ง
ลานหลังบ้านของพวกเขาไก่บินสุนัขกระโดดวุ่นวายขึ้นทุกทีแล้ว
Comments
