ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน อุบายรักลิขิตเสน่หา บทที่ 30
เวลาผ่านไปหนึ่งเค่อ ทั้งห้าคนก็ล้อมอยู่หน้าโต๊ะ ตรงกลางคือหม้อทองเหลืองที่มีน้ำแกงเดือดพล่าน ด้านข้างมีเนื้อแพะและผักวางเต็มไปหมด
เฮ่อหลันฉือก้มหน้าใส่ผักลงไปในหม้อ ฮวาเว่ยหลิงถือตะเกียบพลางเช็ดน้ำลาย โจวหนิงอันก็นั่งถือตะเกียบจ้องตาเป็นมันเช่นกัน ลู่อู๋โยวแววตาเรียบเฉยคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ส่วนมู่หลิงยิ้มแย้มดูใจดีมีเมตตา ชั่วขณะหนึ่งบุรุษทั้งสองให้ความรู้สึกเหมือนกระบี่กับคันธนูที่พร้อมจะฟาดฟันกันอยู่เล็กน้อย
ฮวาเว่ยหลิงยิ้มจนเห็นลักยิ้มทั้งสองข้าง พูดอย่างเป็นมิตรว่า “อย่าตึงเครียดถึงเพียงนั้น พี่สะใภ้บอกว่าเนื้อพอกิน! ไม่ต้องแย่งกัน”
“…” เฮ่อหลันฉือพูดอะไรไม่ออกจริงๆ
ข้าคิดว่าบรรยากาศเหมือนกระบี่กับคันธนูที่พร้อมจะฟาดฟันกันไม่ใช่เพราะเหตุผลนี้หรอก
ยังจะกินน้ำแกงกันอย่างสงบได้หรือไม่นะ
น้ำแกงโบราณยังคงเดือดปุดๆ ท่ามกลางไอร้อนพวยพุ่ง กลิ่นหอมฟุ้งกระจาย
อาหารมื้อนี้กินกันด้วยความอึดอัดอยู่หลายส่วนจริงๆ
คงมีเพียงฮวาเว่ยหลิงที่ไร้ปมในใจ กินคำแล้วคำเล่าอย่างเอร็ดอร่อยเต็มที่ ถึงขั้นพับแขนเสื้อขึ้น น้ำจิ้มที่ลู่อู๋โยวเตรียมไว้มีสองอย่าง อย่างหนึ่งรสอ่อน อีกอย่างเผ็ดร้อน ฮวาเว่ยหลิงเลือกแบบเผ็ด กินได้ครู่เดียวก็ต้องแลบลิ้น ใบหน้าเล็กมีเหงื่อแตกพลั่ก
“เผ็ดมากเลย แต่อร่อยมาก นี่เรียกว่าอะไรหรือ”
โจวหนิงอันเอ่ยตอบ “พี่สาว นี่เรียกว่าน้ำแกงโบราณ ท่านดูเวลาใส่ผักลงไปสิ เสียงดัง ‘กูตง’ ออกเสียงคล้ายกับคำว่าโบราณ ก็เลยเรียกชื่อนี้…”
ว่าแล้วเขาก็มองซ้ายมองขวา ดูความคึกคักไปด้วยกินไปด้วย เหมือนคนชอบดูเรื่องคึกคักไม่กลัวจะเกิดเรื่องใหญ่
เฮ่อหลันฉือคีบอาหาร สามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าบุรุษสองคนที่นั่งนิ่งอยู่ข้างกายนางกำลังมีคลื่นใต้น้ำซัดใส่กัน นางกังวลใจอย่างยิ่งว่าพวกเขาจะพูดจาไม่เข้าหูแล้วทะเลาะกันขึ้นมา พังโต๊ะอาหารนี้เสียหมด ถึงแม้ในความเป็นจริงพวกเขาสองคนจะกินมากที่สุดก็ตาม
เฮ่อหลันฉือคีบเนื้อจิ้มน้ำจิ้มแล้วใส่เข้าปากพลางคิดในใจ อืม เป็นเพราะน้ำแกงโบราณอร่อยมากจริงๆ
กวาดเนื้อลงไปแล้วหลายจานใหญ่ เฮ่อหลันฉือยังไปหั่นเนื้อมาอีกหลายจาน ฮวาเว่ยหลิงกินอิ่มจนกุมท้องนั่งผ่อนลมหายใจสบายอารมณ์อยู่บนเก้าอี้ ลู่อู๋โยวกับมู่หลิงยังคงคีบอาหารกินช้าๆ ทีละคำ
ลู่อู๋โยวเปิดสุราหนึ่งไห ช้อนดวงตาเย็นชาขึ้นมองพลางถามว่า “ดื่มสุราหรือไม่”
เป็นครั้งแรกที่เฮ่อหลันฉือรู้ว่าเขาสามารถช้อนตามองคนโดยไม่แฝงการยั่วยวน มีเพียงการท้าทายได้เช่นกัน
มู่หลิงพูดอย่างเกรงใจด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่ขอรับ ขอบคุณน้ำใจของใต้เท้าลู่มาก”
ตอนกินอาหารเป็นเวลาพลบค่ำ ยามนี้พระจันทร์ลอยเด่นเหนือยอดไม้แล้ว เฮ่อหลันฉือวางตะเกียบลง ลู่อู๋โยวส่งสายตามาให้ นางก็เข้าใจทันที ไล่โจวหนิงอันกลับไปอ่านหนังสือแล้วดึงตัวฮวาเว่ยหลิงไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า
ครั้นกลับมานางก็ได้ยินบุรุษสองคนกำลังพูดคุยกันพอดี
“ข้าก็ไม่ได้คิดจะก้าวก่ายชีวิตน้องสาวข้าให้ได้ แต่เจ้าจริงใจสักนิดได้หรือไม่”
มู่หลิงถอนหายใจก่อนจะเอ่ยว่า “ข้าพูดอะไรใต้เท้าลู่คงไม่ยอมเชื่อ ข้าจำเรื่องก่อนหน้านี้ไม่ได้จริงๆ และไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านั้นมากนัก ถึงแม้เรื่องที่ทำให้แม่นางฮวาเดือดร้อนนี้ข้าไม่ปฏิเสธ แต่ข้าก็จนปัญญาจริงๆ ข้ามีหนึ่งคำถาม…” เขาดูเหมือนจะสงสัยมากเช่นกัน “ข้าดูแล้วไม่ควรค่าให้เชื่อถือถึงเพียงนี้เชียวหรือ ข้าลองย้อนคิดอย่างละเอียดแล้ว ข้าก็ไม่ได้ทำเรื่องเลวร้ายอะไรกระมัง”
เฮ่อหลันฉือคิดในใจว่าคนที่ดูไม่จริงใจกว่าลู่อู๋โยวในอดีตนั้นมีจำนวนน้อยนัก
ฮวาเว่ยหลิงพักอยู่ในเรือนด้านข้าง ส่วนมู่หลิงถูกลู่อู๋โยวไล่ไปพักที่เรือนชั้นหน้า
ในเมื่อมาถึงแล้วฮวาเว่ยหลิงรู้ว่าเฮ่อหลันฉือกำลังเตรียมเปิดสำนักศึกษา จึงอาสาไปช่วยเลือกคนคุ้มกันสำนัก ทั้งยังอยากไปดูทำนบตรงที่ขุดขยายแม่น้ำอีกด้วย ถึงต้องเหยียบดินจนขากางเกงเต็มไปด้วยโคลนนางก็ไม่สนใจ ยังพูดกับเฮ่อหลันฉือด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“ข้าอยากไปด้วย”
เฮ่อหลันฉืออดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “เจ้าอยากไปทำอะไร”
“ขุดคลองขยายแม่น้ำน่ะสิ! ข้าเอาพลั่วขุดได้เร็วกว่าพวกเขาเสียอีก!”
เฮ่อหลันฉือรู้แล้วว่าเหตุใดเด็กสาวจึงเนื้อตัวสกปรกเช่นนี้ นางพูดอย่างลำบากใจ “เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องใช้เจ้า”
ฮวาเว่ยหลิงเอ่ยอย่างเศร้าใจ “เฮ้อ มู่หลิงก็พูดเช่นนี้ ยังบอกอีกว่าข้าจะเพิ่มความยุ่งยากให้พวกเขา”
มู่หลิงเดินตามฮวาเว่ยหลิงอย่างไม่รีบไม่ช้า เฮ่อหลันฉือลอบสังเกตการณ์อยู่หลายวันก็พบว่าเขาเป็นคนไม่ซื่อตรงนัก แต่อย่างน้อยพฤติกรรมยังนับว่าเหมาะสม
หลายวันนี้ลู่อู๋โยวถูกยึดอำนาจไปโดยสิ้นเชิง เพื่อป้องกันไม่ให้เขายื่นมือเข้ามายุ่งอีก เหยียนเหลียงไม่ว่าจะปรึกษาหรือตัดสินใจงานใดล้วนหลบเลี่ยงเขา แต่ลู่อู๋โยวก็ยินดีที่มีเวลาว่าง ดื่มน้ำชาอย่างสบายใจอยู่ในที่ว่าการ
คืนนี้เขากับเฮ่อหลันฉือยังคงนอนอยู่บนเตียงที่ดังเอี๊ยดอ๊าดหลังนั้น
ลู่อู๋โยวมีเวลาว่างจนทำให้นอนไม่ค่อยหลับ เฮ่อหลันฉือกลางวันมีงานยุ่ง หลับตานอนหลับไปอย่างรวดเร็ว นางห่มผ้าห่ม โผล่ออกมาเพียงใบหน้าเล็กงดงามที่แนบอยู่บนหมอนนิ่ม ตะแคงตัวนอนอย่างน่ารัก ลมหายใจแผ่วเบา ขนตาเป็นแพหนาหลุบลง ริมฝีปากแดงเผยอออกเล็กน้อย
ถึงแม้เฮ่อหลันฉือจะพูดแล้วว่าไม่ถือสาที่จะใช้สถานที่อื่นนอกจากเตียง แต่เขาก็ยังไม่ได้ลงมือจริงๆ เลยสักครั้ง
เห็นนางหลับสนิทเขาก็ไม่อยากรบกวน จึงตะแคงตัวพิจารณาใบหน้าของนางครู่หนึ่ง จากจิตใจฟุ้งซ่านจนถึงอารมณ์ว้าวุ่นยากจะควบคุมได้ แล้วกลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง เขายังคงใช้สมองยามมีเวลาว่างคิดใคร่ครวญว่าตอนนั้นที่ชิงโจวเหตุใดจึงไม่รู้สึกว่านางงดงามเช่นนี้
นางหน้าตาเปลี่ยนไปหรือว่าใจของเขาเปลี่ยนไปกันแน่
ดูเหมือนจะแยกแยะไม่ได้เลย
กลิ่นหอมจางๆ ลอยมา เพราะท่าตะแคงนอนของนาง ชุดนอนที่ไม่หนามากชุดนั้นยังคลายออกเผยให้เห็นส่วนเว้าโค้งที่ยั่วยวนใจเล็กน้อย ทั้งยังขยับขึ้นลงตามการหายใจ ปอยผมดำขลับห้อยลงข้างหู ระเบาๆ อยู่ข้างแก้มใส ดูเหมือนพร้อมจะลืมตาขึ้นมองเขาอย่างเกียจคร้านงุนงงได้ทุกเมื่อ
เฮ่อหลันฉือในเวลาเช่นนี้น่าจุมพิตเป็นพิเศษ
ขณะกำลังคิด ยามดึกสงัดคนเงียบสนิท เพราะหูตาดีเกินใคร ลู่อู๋โยวได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวที่เบามากดังมาจากเรือนชั้นหน้า
เขาตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นสวมเสื้อคลุมแล้วเดินออกประตูไป
อันที่จริงเฮ่อหลันฉือกำลังสะลึมสะลือ ยังนอนหลับไม่สนิทนัก นางหรี่ตามองเห็นลู่อู๋โยวกำลังสวมเสื้อคลุมแล้วเดินออกประตูไปยังคิดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น รอจนเขาออกไปแล้วนางก็ฝืนตัวลงจากเตียงไปสวมเสื้อคลุม อยากจะเดินออกไปดูสักนิด
ผลปรากฏว่าพอได้เห็นก็ตื่นเต็มตา คุณชายมู่ผู้นั้นกำลังเปิดประตูใหญ่เดินออกไปกลางดึก
ดึกดื่นค่อนคืนเช่นนี้ บนถนนมีคนเดินน้อยมาก
Comments
