ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน อุบายรักลิขิตเสน่หา บทที่ 31
ลู่อู๋โยวรับชาวบ้านที่ลี้ภัยเข้ามา บ้านหลายหลังที่เฮ่อหลันฉือซื้อไว้ทำสำนักศึกษายังว่างอยู่พอดี จึงจัดให้คนไปพักที่นั่นก่อน นอกจากเฮ่อหลันฉือจะสั่งพ่อครัวให้ต้มโจ๊กแล้ว ยังหายาสมานแผลจำนวนหนึ่งให้อีกด้วย ฮวาเว่ยหลิงก็มาช่วยเหลือเช่นกัน
“ขอบคุณใต้เท้ากับฮูหยิน!”
“เป็นเทพบนโลกมนุษย์จริงๆ!”
หลังจากปรับอารมณ์ได้เล็กน้อยแล้วพวกเขาก็เริ่มพูดกันคนละคำสองคำถึงความน่ากลัวของชาวเป่ยตี๋
“ตอนที่ข้าหนีออกมายังได้ยินเสียงร้องน่าเวทนาข้างหลังอยู่เลย…”
“พวกเขาไม่ใช่คนจริงๆ!”
มีคนพูดอย่างกังวลว่า “เมืองสุยหยวนคงไม่ถูกตีแตกกระมัง”
“นี่เป็นเมืองหลัก คงจะไม่…”
สภาพการณ์ในเมืองตึงเครียดมากขึ้น แต่ประตูเมืองปิดอยู่ ทุกหนแห่งมีทหารเฝ้าระวังอย่างเข้มงวดไม่ให้เกิดเรื่อง นอกประตูไม่มีเสียงทุบประตูที่ดังสนั่นอีกแล้ว ราวกับว่าเป็นเพียงการตีตนไปก่อนไข้ ยามนี้ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
อย่างไรเสียทุกอย่างตรงหน้าก็ยังคงเหมือนที่ผ่านมาไม่มีความผิดปกติใด
พอตกกลางคืน เสียงเปิดประตูเมืองทิศใต้ก็ดังขึ้นเบาๆ
ผ่านไปไม่นานมีคนไปรายงานเจ้าเมือง กลับพบว่าที่ว่าการว่างเปล่าไร้คน ภายในเรือนพักเจ้าเมืองก็เงียบเชียบเช่นกัน
“เจ้าเมืองหนีไปแล้ว!”
“เจ้าเมืองเหยียนทิ้งเมืองหนีไปแล้ว!”
“บอกว่าไปตามคนมาช่วย แต่เมืองสุยหยวนรักษาไว้ไม่ได้แล้วใช่หรือไม่…”
ด้วยเหตุนี้จึงมีคนพูดอีกว่า “พวกเราหนีกันเถอะ!”
“แต่ประตูเมืองปิดแล้ว!”
ชาวบ้านที่ลี้ภัยมาเพิ่งสงบใจลงได้เวลานี้กลับร้อนรนแล้วเช่นกัน
“พวกเราหนีไม่ไหวแล้วจริงๆ…”
“แล้วนี่จะทำเช่นไร”
เฮ่อหลันฉือเงยหน้ามองไปยังที่ไกลๆ ปราดหนึ่งเช่นกัน รู้สึกกังวลใจขึ้นมา ถึงแม้ที่เหยียนเหลียงหนีไปจะไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ แต่หลังจากนี้เล่า เมืองหยวนเซียงควรจะทำเช่นไร
ตอนนี้ไม่มีแก่ใจจะสนใจความขัดเขินแล้ว เฮ่อหลันฉือเดินออกไปแล้วบังเอิญเจอกับลู่อู๋โยวพอดี
เขาพูดอย่างรวดเร็วว่า “ข้าจะไปพบทหารพิทักษ์เมืองสุยหยวน ตอนเจ้าคนเลวเหยียนเหลียงจากไปยังนำทหารไปด้วยร้อยกว่านาย ตอนข้าทลายรังโจรก่อนหน้านี้ข้าสั่งการค่ายทหารในเมืองไม่ได้ แต่ตอนนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องลองไปถามดู”
เฮ่อหลันฉือพูดอย่างรวดเร็วเช่นกัน “ข้าจะไปปลอบขวัญชาวบ้านในเมือง…” เอ่ยจบนางก็ใคร่ครวญสักครู่ “เหยียนเหลียงไปแล้ว พวกเราจะตัดสินใจเองได้หรือ”
“ตัดสินใจเองไม่ได้ก็ต้องทำ ไม่อย่างนั้นจะทำเช่นไร”
เฮ่อหลันฉือพูดต่อไปว่า “เช่นนั้นข้าจะไปรวบรวมคนในเมืองไปเฝ้าระวังเมือง ยังมีคนแก่ คนป่วย สตรี และเด็กเล็กอีกจำนวนหนึ่งด้วย…”
“ให้ส่วนหนึ่งออกจากเมืองไปก่อนได้ รายละเอียดเจ้าทำตามที่เห็นควร อาศัยเพียงทหารในเมืองไม่พอแน่นอน ถ้ามีคนยินดีเฝ้าเมืองเองจะดีที่สุด แต่บุรุษส่วนใหญ่ต้องอยู่ที่นี่ ไม่เช่นนั้นก็ยอมจำนนให้หมด ให้พวกเว่ยหลิงกับจื่อจู๋ติดตามเจ้า จะได้ไม่มีคนก่อเรื่อง”
พวกเขาปรึกษากันเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ได้พูดอะไรมากความอีก ราวกับเข้าใจกันโดยไม่ต้องพูดแล้ว
ทั้งที่เป็นกลางดึกแต่ทุกบ้านกลับจุดตะเกียงยากจะนอนหลับได้ ข่าวลืออันน่าตื่นตระหนกทุกประเภทกระจายไปทั่ว เฮ่อหลันฉือวิ่งไปทีละบ้าน เลือกคนเสร็จแล้วก็ตรงไปปรึกษากับขุนนางเฝ้าประตูเมืองทิศใต้
ขุนนางเฝ้าประตูในเวลานี้ทั้งโกรธแค้นและสับสน โกรธแค้นที่เจ้าเมืองเหยียนหนีไปเลยเช่นนี้ และสับสนว่าหลังจากนี้จะทำอย่างไรดี ขณะกำลังว้าวุ่นใจก็มองเห็นสตรีงดงามล้ำเลิศเดินมาหา
เฮ่อหลันฉือนั่งประจำอยู่ในที่ว่าการหลายวันย่อมไม่มีใครไม่รู้จัก
ขุนนางเฝ้าประตูคิดทันทีว่าเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ลู่จะส่งครอบครัวจากไป ในเมื่อเจ้าเมืองเหยียนหนีไปแล้ว เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ลู่จะส่งฮูหยินกับน้องสาวจากไปมีอะไรทำไม่ได้อีกเล่า!
เขากำลังจะรับปาก กลับได้ยินเฮ่อหลันฉือพูดเสียงเบาว่า “เปิดประตูเมืองให้คนแก่ คนป่วย สตรี และเด็กเล็กเหล่านี้ออกจากเมือง ไปขอความช่วยเหลือจากเมืองข้างเคียงก่อนได้หรือไม่”
ขุนนางเฝ้าประตูตกใจก่อนจะเอ่ยรับปากว่า “ดะ…ได้…”
เมื่อคนเหล่านั้นถูกองครักษ์กลุ่มหนึ่งทยอยส่งออกไปยังเมืองข้างเคียงแล้ว ขุนนางเฝ้าประตูตกตะลึง พบว่าเฮ่อหลันฉือยังยืนอยู่กับที่จึงเอ่ยขึ้น
“ฮูหยิน ท่าน…”
เฮ่อหลันฉือผ่อนลมหายใจ พูดอย่างสงบนิ่งว่า “ข้าจะอยู่ที่นี่”
ฮวาเว่ยหลิงกำลังเช็ดกระบี่อย่างมีสมาธิแน่วแน่
อีกฟากหนึ่ง
มู่หลิงกำลังยืนอยู่ตรงทางที่ลู่อู๋โยวต้องเดินผ่าน เขาสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย ท่าทางสง่างาม ดูแล้วเหมือนคุณชายสุภาพอ่อนโยนคนหนึ่ง เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาดังเดิม
“ใต้เท้าลู่”
ลู่อู๋โยวหัวเราะก่อนจะเอ่ยว่า “ตอนนี้เจ้ามาหาข้าเพื่อบอกการตัดสินใจของเจ้าหรือ ข้ามีงานยุ่งเล็กน้อย อาจจะไม่มีเวลาปรึกษากับเจ้าชั่วคราว”
มู่หลิงส่ายหน้า “ข้าเพียงอยากบอกเจ้าว่าทหารม้าที่ฉากานองค์ชายสามเป่ยตี๋นำมามีราวสองสามหมื่นนาย เขาเสียสติเหมือนคนบ้ามาก เมืองสุยหยวนมีทั้งหมดกี่คนเจ้ารู้กระจ่างกว่าข้า คงจะรักษาไว้ไม่ได้ ตอนนี้เจ้านำคนหนีไป ทิ้งเมืองว่างเปล่าให้เขาก็ยังทัน”
ลู่อู๋โยวพูดเสียงเรียบ “เมืองว่างเปล่าแล้วหลังจากนั้นเล่า เขาจะไม่ไล่โจมตีต่อหรือ ในเมืองมีม้าไม่พอเช่นกัน ชาวบ้านธรรมดาเหล่านี้จะวิ่งได้เร็วเท่าไร ถอยไป…” เขาเดินตรงไปข้างหน้าแล้วชนไหล่ของมู่หลิงให้ถอยไปโดยไม่ลังเล “กลัวตายเจ้าก็ออกจากเมืองไปพร้อมกับสตรีเด็กเล็กเหล่านั้นก่อนเลย ข้าเข้าใจได้”
มู่หลิงถูกเขาชนจนถอยไปด้านข้าง “แต่เจ้าไม่ไป ยังจะให้แม่นางฮวาอยู่ที่นี่ทำศึกเลือดกับเจ้าอีกหรือ”
“ไม่ต้องเป็นห่วง มีประโยชน์ยิ่งกว่าเป็นองครักษ์ให้เจ้าเสียอีก”
“ข้าติดตามนาง ไม่ได้คิดจะให้นางมาเป็นองครักษ์ของข้า” มู่หลิงหลุบตาลงพลางเอ่ยถาม “เจ้าจะเสี่ยงตายเฝ้าเมืองจริงหรือ”
“เจ้าจะไปก็ไป อย่ามาเสียเวลาของข้า”
มู่หลิงพูดขึ้นทันใด “ก็ได้ ข้ามีองครักษ์ส่วนตัวหนึ่งพันคนพักอยู่ละแวกนี้”
ดูเหมือนตอนนี้เขาไม่ได้แสร้งสูญเสียความทรงจำแล้ว
ลู่อู๋โยวชะงักฝีเท้าแล้วหันหน้าไปเอ่ยถาม “เจ้าสูญเสียความทรงจำมิใช่หรือ จำได้อีกแล้วหรืออย่างไร”
“ข้าเองก็ไม่อยากจำได้เท่าไรนัก ตอนแรกข้าสูญเสียความทรงจำจริงๆ บาดเจ็บหนักถึงเพียงนั้น เจ้าตรวจดูแล้วมิใช่หรือ”
“แล้วเจ้าไปเอาองครักษ์ส่วนตัวมาจากที่ใด”
“ท่านพ่อข้าทิ้งไว้”
“เจ้ายังให้น้องสาวข้าคุ้มครองเจ้าอีกหรือ เจ้าบอกว่าเจ้าเกือบตายแล้วมิใช่หรือไร”
“ข้าพาคนหนึ่งพันคนออกจากบ้านไปทุกที่ตลอดเวลาไม่ได้เสียหน่อย สำหรับที่นี่ เพราะเป็นชายแดน จึงซุ่มซ่อนคนได้ค่อนข้างง่ายเท่านั้นเอง”
“แล้วอย่างไร” ลู่อู๋โยวจ้องหน้าเขา “บอกเรื่องนี้แก่ข้ามีประโยชน์หรือ เจ้ายอมเอาคนออกมาเฝ้าระวังเมืองสู้กับเป่ยตี๋หรือไร นี่คงเป็นคนที่บิดาเจ้าทิ้งไว้เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของเจ้ากระมัง จะว่าไปมีเพียงหนึ่งพันคนหรือ”
มู่หลิงยักไหล่แล้วกล่าวว่า “ก็ได้ มีสองพัน แต่ข้าไม่เคยใช้งานมาก่อน อันที่จริงอยากจะทดสอบมาโดยตลอด”
อย่างไรเสียก็ไม่พอจะก่อกบฏ
ลู่อู๋โยวพูดอย่างเย็นชา “เจ้าพูดความจริงสักสองประโยคได้หรือไม่”
มู่หลิงหัวเราะเล็กน้อย “พูดความจริงทั้งหมดข้าคงตายไปนานแล้ว”
Comments
