ฉยงเหนียงได้แต่กำสองมือแน่น นิ่งมองผ้าห่มแพรซึ่งเป็นสินเจ้าสาวที่นางปักเองกับมือผืนนั้น สีหน้าของนางแข็งค้าง คิดในใจเพียงว่า…น่าเสียดายผ้าห่มลายดอกไป่เหอแบบซูโจว** ที่เมื่อแรกข้าสู้บรรจงปักอยู่หนึ่งเดือน ตอนนี้ต้องใช้ไฟเผาทิ้งเท่านั้นถึงจะสะอาด…
ฉยงเหนียงซึ่งเดิมคิดจะมอบความประหลาดใจให้กับสามี ชั่วขณะนี้กลับถูกสามีทำให้ตื่นตกใจแทนแล้ว
ต่างจากท่าทีเยือกเย็นไม่สะทกสะท้านของชุยผิงเอ๋อร์สตรีที่สามีของนางปกป้องอยู่
ในที่สุดเมื่อฉยงเหนียงถูกเหตุการณ์ดุจฝันร้ายนี้บีบคั้นให้ต้องถอยออกจากประตูห้องไปอย่างไม่อาจควบคุมตนเอง ชุยผิงเอ๋อร์ถึงรวบสางเรือนผมที่ยุ่งสยาย คลุมเสื้อนอกของซั่งอวิ๋นเทียนแล้วเดินเนิบนาบออกมาจากห้องชั้นใน หลังจากชมดูสีหน้าเปี่ยมด้วยโทสะของฉยงเหนียงอย่างหยิ่งยโสจนหนำใจแล้ว ชุยผิงเอ๋อร์ค่อยเอ่ยปากกล่าวว่า “พี่สาว ข้ากับพี่ซั่งสานไมตรีกันมาเนิ่นนานแล้ว เพียงติดขัดที่ท่านช่างหึงหวง พี่ซั่งไม่สะดวกใจจะเอ่ยปากกับท่าน ตอนนี้ถูกท่านพบเข้าเอง ข้าก็ประหยัดถ้อยคำไปได้มาก วันพรุ่งนี้ข้าจะให้พี่ซั่งแจ้งต่อท่านพ่อท่านแม่ พวกเราจะได้เข้าพิธีให้ถูกต้องในเร็ววัน!”
เมื่อมองตรงไปยังใบหน้าพริ้มเพราที่ยังฉาบด้วยจริตอันยั่วยวนของชุยผิงเอ๋อร์ ฉยงเหนียงก็ไม่อาจข่มกลั้นต่อไป ยื่นมือตบหน้าอีกฝ่ายไปหนึ่งฉาด “ทำเรื่องขัดต่อศีลธรรมเยี่ยงนี้แล้วยังพูดได้เต็มปากเต็มคำอีก เจ้าช่างหน้าไม่อายเลยจริงๆ!”
ชุยผิงเอ๋อร์คลุกคลีอยู่กับชาวบ้านร้านตลาดมานานปี ย่อมมีอุปนิสัยไม่ยอมเสียเปรียบใคร ประกอบกับแต่ไรมายามอยู่ต่อหน้าฉยงเหนียง ชุยผิงเอ๋อร์ก็เคยชินที่จะพูดด้วยกิริยาเช่นนี้และเคยชินที่จะเห็นอีกฝ่ายอดกลั้นยอมลงให้ตนมาตลอด ดังนั้นนางจึงตบหน้าฉยงเหนียงคืนหนึ่งฉาดทันที ใบหน้านางฉายแววหยิ่งผยองและดุร้ายอำมหิต ขัดกับเสียงพูดที่นุ่มเบาสั่นเครือนิดๆ ราวได้รับความไม่เป็นธรรมเสียเต็มประดา “พี่สาว ไยท่านจึงลงมือตบตีผู้อื่นเล่า หรือว่าข้ายังถูกท่านข่มเหงรังแกไม่พอ ทั้งที่ข้าต่างหากคือคุณหนูสกุลหลิ่วผู้เกิดจากภรรยาเอก แต่กลับถูกคนแซ่อื่นอย่างท่านมาทำตัวเป็นนกเขายึดรังสาลิกาเสียได้ เรื่องนี้ข้าเคยต่อว่าท่านหรือไร!”
หึๆ! แค่ ‘นกเขายึดรังสาลิกา’ ประโยคเดียวนี้ก็อุดปากฉยงเหนียงได้แล้ว
สิ่งที่ชุยผิงเอ๋อร์เอ่ยถึงคือความลับของสกุลหลิ่วที่มิอาจบอกต่อคนนอก
ปีนั้นในราชสำนักเกิดเหตุเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ สกุลหลิ่วพลอยเดือดร้อนไปด้วย ระหว่างออกจากเมืองหลวงเพื่อหนีศัตรู พวกเขาไปหลบฝนในโรงเตี๊ยมที่อยู่กลางเขาแล้วบังเอิญได้พบกับครอบครัวพ่อค้าแผงลอยสกุลชุย เป็นกรรมเวรแท้ๆ ที่สองสกุลต่างก็มีทารกแฝดชายหญิงหนึ่งคู่ ชั่วขณะนั้นเอง สกุลหลิ่วกับสกุลชุยที่มาหลบฝนด้วยกันถึงกับอุ้มทารกหญิงสองคนสลับผิดไป
ด้วยเหตุนี้คุณหนูสกุลหลิ่วตัวจริงจึงพลัดพรากไปตกระกำลำบาก ในขณะที่ฉยงเหนียงบุตรสาวพ่อค้าแผงลอยสกุลชุยผู้นี้กลับกลายมาเป็นไข่มุกล้ำค่าบนมือสกุลหลิ่ว
ตอนที่ฉยงเหนียงในวัยสิบหกกำลังคัดเลือกครอบครัวที่จะออกเรือน ความจริงเรื่องชาติกำเนิดนี้ถูกแม่นมของสกุลหลิ่วที่ป่วยหนักใกล้สิ้นลมแล้วเปิดเผยออกมา
ตอนนั้น ‘มารดา’ ของฉยงเหนียง หรือก็คือเหยาซื่อฮูหยินของประมุขสกุลหลิ่วฟังแล้วร่ำไห้เจียนขาดใจ ฉยงเหนียงเองก็คล้ายถูกสายฟ้าฟาดกลางวันแสกๆ ลนลานจนทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ
ตามความเห็นของฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหลิ่วซึ่งฉยงเหนียงเรียกเป็น ‘ท่านย่า’ นั้น ต้องการจะรับตัวชุยผิงเอ๋อร์ที่ถูกเลี้ยงอยู่ในสกุลชุยกลับมาเข้าสกุลหลิ่วดังเดิม
ทว่าเมื่อส่งคนไปสืบข่าว ผลกลับออกมาว่าชุยผิงเอ๋อร์กลายเป็นนางบำเรอของหลางอ๋องฉู่เสียแล้ว