บทที่สอง
เมื่อขอบฟ้าเริ่มปรากฏสีขาวพุงปลาทีละน้อย ตำบลฝูหรงเล็กๆ ที่อยู่ริมน้ำชานเมืองหลวงยังคงเงียบสงัดไปทั่วบริเวณ เรือไป๋เผิงที่อยู่ใต้สะพานหินโค้งจอดเกาะกลุ่มสองลำบ้างสามลำบ้าง พวกมันไหวกระเพื่อมตามระลอกน้ำพลางรอคอยให้คนบังคับเรือตื่นจากห้วงนิทราอันแสนหวานเช่นทุกวัน
ทว่าผู้ที่เลี้ยงชีพโดยพึ่งพาฝีมือในการนึ่งขนมนั้น ต้องตื่นเช้ากว่าผู้อื่นอยู่บ้าง
ดังนั้นสกุลชุยที่จะไปขายขนมชนิดต่างๆ กับเกี๊ยวน้ำเป็นอาหารเช้าริมทางในวันนี้จึงเริ่มจุดเตาไฟและนวดแป้งลงนึ่งในลังถึงนานแล้ว
ไม่นานนักประตูไม้ที่ถูกควันไฟรมจนเก่าคร่ำคร่าก็ถูกผลักเปิดดังแอ๊ด แม่นางน้อยที่ดูแล้วอายุเพียงสิบสี่สิบห้าปีและมีเรือนผมยาวดำขลับทิ้งตัวสยายลงมากึ่งหนึ่ง กำลังหิ้วถังไม้ที่สูงเกือบถึงเอวหนึ่งใบก้าวออกมาจากด้านในของประตู
แม้สีท้องฟ้ายังไม่สว่างเต็มที่ ทว่าแสงรำไรเพียงแค่นั้นก็พอจะส่องสว่างผิวพรรณอันขาวสะอาดตาของแม่นางน้อยผู้นี้แล้ว จริงอยู่สายลมอันอบอุ่นอ่อนโยนที่เคล้าด้วยดอกท้อกับริ้วฝนพรำของตำบลริมน้ำแห่งนี้เหมาะแก่การอยู่อาศัยเป็นอย่างยิ่ง แต่หญิงงามที่มีกลิ่นอายสูงส่งเกินบรรยายเช่นแม่นางน้อยผู้นี้กลับพบเห็นได้ไม่มาก
แลเห็นดวงตาใต้คิ้วที่เหินสะบัดคู่นั้นราวน้ำพุใสซึ่งปกคลุมด้วยไอหมอกเย็นอันบางเบา ใต้จมูกที่โด่งรั้นคือริมฝีปากบางจิ้มลิ้มที่กำลังเม้มนิดๆ เนื้ออิ่มตรงกึ่งกลางของปากรูปกระจับนั้นดุจขนมดอกซิ่งที่เพิ่งจะออกจากลังถึง ทั้งเย้ายวนจนไม่อาจละสายตา ทั้งคล้ายเคลือบด้วยน้ำแข็งอันแวววาวดึงดูดใจ
นางไม่ได้รีบร้อนไปตักน้ำสะอาดในบ่อ ทว่าไปยืนบนเชิงสะพานหินที่ทอดผ่านหน้าลานเรือนของตนแล้วก้มหน้าส่องดูแม่น้ำก่อน บนผิวน้ำที่ออกสีเขียวนิดๆ นั้นมองเห็นเงาของนางได้รางๆ นางจึงวางถังน้ำลงพื้น หยิบหวีไม้ท้อซึ่งซี่หวีหักไปบางส่วนแล้วเล่มหนึ่งออกมาจากด้านในของสายคาดเอวเนื้อหยาบ จากนั้นอาศัยเงาในแม่น้ำค่อยๆ สางรวบเรือนผมยาวดำขลับที่ทิ้งตัวอยู่ข้างหัวไหล่ ก่อนดึงผ้าสีน้ำเงินผืนหนึ่งจากในแขนเสื้อมาห่อคลุมเส้นผมซึ่งรวบขึ้นอย่างยากเย็นด้วยท่าทางที่ค่อนข้างงุ่มง่าม
นางมองดูเรือนผมของตนซึ่งนับว่าเป็นทรงได้เสียที แม้ตรงจอนยังมีเส้นผมรุ่ยลงมาหลายปอย แต่ก็ถือว่าสามารถออกไปพบเจอผู้คนได้แล้ว
นับดูหลิ่วเจียงฉยงมีชีวิตมาสองชาติภพแล้ว ทว่าในอดีตโอกาสที่นางเคยลงมือหวีผมด้วยตนเองกลับมีอยู่น้อยแสนน้อย ไม่แปลกเลยที่ตอนนี้นางจะวุ่นวายจนมือไม้ปั่นป่วน
หลิ่วเจียงฉยง? นางฝืนยิ้มน้อยๆ ให้กับเงาบนผิวน้ำ ไม่สิ ตอนนี้ชื่อจริงของข้าควรเป็นชุยเจียงฉยงแล้ว
ยามที่นางจมลงในน้ำอันเย็นเฉียบบ่อนั้น ความรักกับความแค้นก็ล้วนดับสูญไปด้วย เดิมทีนางนึกว่าตนเองไร้กำลังจะกอบกู้อะไรได้แล้ว แต่ใครจะรู้ว่าชั่วขณะที่วิญญาณออกจากร่างกลับคล้ายเป็นห้วงฝันอันเลื่อนลอย เพียงพริบตานางก็ได้หวนกลับมาในปีที่ตนเองอายุสิบห้านี้อีกครั้ง
จริงอยู่ว่ารูปโฉมนางยังคงเดิม ทว่าสภาพรอบข้างกลับเปลี่ยนไปราวฟ้ากับดิน มองเค้าเดิมในชาติก่อนไม่ออกสักนิดเดียว
ในชาติก่อนที่คล้ายเป็นห้วงฝันนั้น ชีวิตของนางกล่าวได้ว่าราบรื่นจนชวนให้สตรีทั่วไปอิจฉา ทว่าหลังจากมีชาติก่อนอันดีงามเพียงนั้นแล้ว เมื่อได้มีชีวิตใหม่อีกหนึ่งชาติภพ นางกลับต้องตกอับมาเป็นบุตรสาวครอบครัวพ่อค้าแผงลอย นับว่าร่วงจากก้อนเมฆลงสู่ส่วนลึกของโคลนตมก็ว่าได้ หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นคงจะโกรธแค้นกล่าวโทษสวรรค์ว่ากลั่นแกล้งคน ขอยอมแขวนคอตายเองก็ไม่ขอยอมรับความทุกข์ยากของชีวิตภพใหม่อันแสนต่ำต้อยนี้หรอก
แต่สำหรับนางที่กลายมาเป็นชุยเจียงฉยงแล้ว เมื่อแรกที่ดวงตาอันสะลึมสะลือทั้งคู่ลืมขึ้นเห็นหยากไย่บนคานห้อง กับสามีภรรยาสกุลชุยที่กำลังขมวดคิ้วมองนาง ตอนนั้นแม้นางจะยังตระหนก ทว่าไม่ช้าในใจก็คืนสู่ความสงบ
ความอบอุ่นและเหน็บหนาวบนโลกนี้คนเราต้องเรียนรู้ด้วยตนเอง ภายใต้อาภรณ์อันหรูหราฟุ้งเฟ้อในชาติก่อนซ่อนรอยด่างพร้อยไว้มากเพียงใดก็มีแต่เจ้าตัวที่ล่วงรู้