นางกลายมาเป็นชุยเจียงฉยงก็ดีเหมือนกัน ทุกสิ่งก็แค่หวนคืนสู่ตำแหน่งดั้งเดิมของมันเท่านั้น เพียงแต่ว่า…ในชาติก่อนความลับเรื่องชาติกำเนิดถูกเผยออกมาตอนที่นางอายุสิบหก แต่เหตุใดตอนนี้จึงเลื่อนเร็วขึ้นปีหนึ่งเล่า หรือเพราะการเกิดใหม่ของนางทำให้ชาตินี้เกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้น?
จำได้ว่าตอนที่นางฟื้นขึ้นมาในคราแรก บริเวณข้อพับแขนปวดแสบราวถูกไฟเผา นางม้วนแขนเสื้อขึ้นดูก็เห็นตรงข้อพับปรากฏสัญลักษณ์ ‘วั่น’ สีแดงสด ซึ่งคล้ายคลึงกับเครื่องหมายสวัสติกะในพุทธศาสนา นี่เป็นสัญลักษณ์ที่นางไม่เคยมีในชาติก่อน เครื่องหมายสวัสติกะสื่อถึงความสว่างไสว และยังแฝงนัยถึงสังสารวัฏอันไม่สิ้นสุด ในใจนางจึงคิดว่า…หรือนี่จะเป็นผลตอบแทนที่ขณะมีชีวิตข้าทำกุศลสั่งสมไว้มาก?
ในช่วงไม่กี่วันแรกของการเกิดใหม่ ฉยงเหนียงมักใจลอยและยังแคลงใจว่าตนใช่กำลังฝันอยู่หรือไม่ รอจนสงบใจและรู้สถานภาพของตนชัดเจนในที่สุด นางที่เพิ่งฟื้นไข้จึงแสร้งทำทีว่าป่วยจนเลอะเลือน สอบถามเหตุการณ์ก่อนนี้อย่างหน้าตาเฉย
ฟังจากความหมายของชุยจงบิดานางแล้ว สาเหตุที่ค้นพบว่าสองสกุลอุ้มบุตรสาวสลับตัวกันนั้น ต้องเริ่มเล่าจากที่ชุยผิงเอ๋อร์ออกความคิดให้ทางบ้านเข้าไปขายขนมในเมืองหลวง
เมื่อชุยจงเห็นพ้อง ชุยผิงเอ๋อร์ก็ติดตามบิดาเข้าเมืองหลวงไปขายขนมแบบหาบเร่ มีอยู่หนหนึ่งขณะนำขนมที่สาวใช้ในจวนสกุลหลิ่วสั่งซื้อไว้มาส่ง บังเอิญถูกเหยาซื่อฮูหยินใต้เท้าหลิ่วพบเข้า ชุยผิงเอ๋อร์หน้าตาละม้ายเหยาซื่อเป็นอย่างยิ่ง ถึงขั้นทำให้เหยาซื่อกับหญิงรับใช้อาวุโสที่อยู่ข้างกายนางมองตาค้าง
เนื่องจากฉยงเหนียงไม่คล้ายใครในสกุลหลิ่วเลย ประกอบกับคำกล่าวเล่นของชุยผิงเอ๋อร์ที่พูดว่า ‘ข้าคล้ายฮูหยินเพียงนี้ ยังนึกว่าเมื่อแรกพ่อแม่อุ้มข้ามาผิดเสียด้วยซ้ำ’ ก็ยิ่งทำให้เหยาซื่อบังเกิดความสงสัย
หลังจากพูดคุยสัพเพเหระกันไม่กี่ประโยคก็เผอิญรู้ว่านางคือบุตรสาวของสกุลชุยในตอนนั้น เพียงนึกถึงเรื่องเลวร้ายที่ตนบงการให้แม่นมทำ ในใจเหยาซื่อก็พลันแตกตื่น รีบซักถามอย่างละเอียด รวมทั้งคาดคั้นแม่นมสองคนนั้นจนเค้นได้ข้อมูลจากปากของแม่นมแซ่อิ่น ทำให้ล่วงรู้ความจริงที่อีกฝ่ายอุ้มบุตรสาวของสองสกุลมาผิดคน
ทั้งสองสกุลต่างก็พลันอารมณ์พลุ่งพล่าน ทว่าไม่ทันไรฝ่ายสกุลหลิ่วก็ตั้งสติได้ เห็นว่ายังดีที่บุตรสาวของสองสกุลล้วนยังไม่ถึงวัยปักปิ่นไม่เคยหมั้นหมายกับผู้ใด ฉยงเหนียงเองก็ไม่ค่อยได้พบปะผู้คนภายนอก ด้วยตามธรรมเนียมของแผ่นดินต้าหยวนแล้ว สตรีจะนับว่าถึงวัยปักปิ่นในวันเทศกาลซั่งซื่อจากนั้นเหล่าคุณหนูในเมืองหลวงถึงจะติดตามมารดาเข้าออกงานเลี้ยงขนาดใหญ่ที่เป็นทางการ และถือโอกาสกำหนดคู่หมายได้ ดังนั้นนอกจากญาติมิตรแล้ว ครอบครัวขุนนางในเมืองหลวงส่วนใหญ่จึงยังไม่เคยได้พบเห็นคุณหนูแห่งจวนสกุลหลิ่วผู้นี้
คนสกุลหลิ่วรู้สึกว่า…การกอบกู้ทุกสิ่งล้วนยังทันกาลอยู่!
ภายหลังเหยาซื่อได้เห็นชุยผิงเอ๋อร์กับตา ด้วยความรักลูกนางจึงรีบไปหารือกับฮูหยินผู้เฒ่า ให้หลิ่วเมิ่งถังออกหน้าเจรจาตกลงกับพ่อค้าสกุลชุยว่าจะสลับคืนบุตรสาวของสองสกุลกันอย่างเงียบๆ
อย่างไรเสียเมื่อสตรีเติบใหญ่ขึ้นย่อมเปลี่ยนไปมากมาย ต่อให้มีคนต่างแซ่เคยเจอฉยงเหนียง ขอเพียงเฉไฉว่านางโตขึ้นแล้วหน้าตาเปลี่ยนก็ไม่อาจจับผิดได้แล้ว
ทว่าเมื่อฉยงเหนียงได้ยินข่าวกลับร้องไห้เศร้าเสียใจมิคลาย ทั้งปฏิเสธตรงๆ ว่าไม่ยินยอมไปจากจวนสกุลหลิ่ว แต่หากจะให้นางอยู่ต่อ เช่นนั้นชุยผิงเอ๋อร์ก็ต้องอยู่ในจวนสกุลหลิ่วอย่างไร้ฐานะอันชอบธรรม จะอย่างไรเหยาซื่อก็มีบุตรช้า ตอนนั้นวัยเลยสามสิบถึงค่อยมีลูกแฝดชายหญิงคู่นี้ ย่อมไม่เหมาะที่จะบอกผู้อื่นกระมังว่าตนคลอดบุตรสาวออกมาอีกคน หรือจะบอกว่าชุยผิงเอ๋อร์คือลูกของอนุนางบำเรอ