เพียงแต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ใจเขาเหน็บหนาว นั่นคือชุยผิงเอ๋อร์น้องสาวที่โต้คารมกันมาจนเติบใหญ่และอยู่ร่วมกันทุกเช้าค่ำ ครั้นได้รู้ชาติกำเนิดที่แท้จริง นางกลับขึ้นรถม้าคันหรูเข้าจวนผู้ดีมีตระกูลไปอย่างไม่ลังเลและไม่มีท่าทางอาลัยอาวรณ์แม้สักนิด ไม่เพียงบิดามารดาของเขาที่เสียใจ เขาเองก็รู้สึกย่ำแย่อย่างมาก หนำซ้ำฉยงเหนียงน้องสาวที่สลับคืนมาผู้นี้ยังเอาแต่ร้องห่มร้องไห้ทั้งวี่วัน รังเกียจว่าสกุลชุยยากจนข้นแค้น ในใจเด็กหนุ่มจึงยิ่งอัดอั้นด้วยไฟโทสะ รู้สึกเพียงว่าคนที่ถูกส่งคืนมากลางคันเช่นนี้จะอย่างไรก็ไม่เหมือนคนในครอบครัว มองเช่นไรก็ใกล้ชิดด้วยไม่ลง
ทว่ามาถึงตอนนี้ ท่าทีชิงชังเย็นชาของฉยงเหนียงในช่วงหลายวันก่อนล้วนหายไปจนสิ้นแล้ว ดวงหน้าที่ขาวนวลดุจทาแป้งนั้นกำลังอมยิ้มมองเขาอยู่ คิ้วตาของนางมีเค้าของหลิวซื่อในวัยสาวอยู่หลายส่วนทีเดียว…ชุยฉวนเป่าเพิ่งจะรู้สึกเป็นครั้งแรกว่าคุณหนูที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้คือน้องสาวร่วมอุทรของเขาจริงๆ
ยามที่เขาเดินหน้าต่อ ฝีเท้าจึงผ่อนช้าลงหลายส่วนอย่างห้ามไม่อยู่
เมื่อสองพี่น้องเดินเข้าประตูบ้านมาพร้อมกัน หลิวซื่อกำลังนึ่งขนมดอกซิ่งอยู่หน้าเตา พอมองผ่านไอน้ำที่พวยพุ่งเห็นบุตรสาวกลับมาแล้ว นางก็รีบตะโกนเรียก “ขนมเพิ่งจะนึ่งเสร็จเลย ฉยงเหนียงมากินก่อน ฉวนเป่า เจ้าเติมโอ่งน้ำเต็มแล้วก็มากินได้เลย!”
ฉยงเหนียงได้ยินมารดาเรียกหาก็ยกอ่างไม้ใส่น้ำมาด้วย
หลิวซื่อที่ถูกเคี่ยวกรำอยู่หลายวันพอจะจับนิสัยความเคยชินของบุตรสาวผู้บอบบางที่เพิ่งกลับมาอยู่บ้านได้แล้ว บรรดาคุณหนูในจวนขุนนางคงจะมีกฎระเบียบเช่นนี้กันหมด ก่อนกินอาหารต้องใช้น้ำอุ่นล้างมืออยู่เป็นนาน น้ำเย็นไปเพียงนิดเดียวก็ไม่ได้!
นางจึงรีบหยิบกระบวยน้ำเต้าไปตักน้ำร้อนในหม้อเหล็กใบใหญ่ออกมาสองกระบวย ทั้งคว้าดอกซิ่งแห้งที่เหลือจากการนึ่งขนมติดมือมาหนึ่งขยุ้มแล้วโปรยลงอ่างไม้ใบนั้นไปด้วย ปากก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเอาใจนิดๆ “เมื่อก่อนเจ้ารังเกียจว่าน้ำในหม้อเหล็กมีกลิ่นตุๆ แต่เช้าตรู่เช่นนี้ใช้หม้อดินเผาใบเล็กแยกต้มน้ำให้ไม่ทันจริงๆ แม่ใช้กลีบดอกซิ่งกลบกลิ่นให้แล้ว เจ้าก็กล้อมแกล้มล้างมือสักหน่อยดีหรือไม่”
ฉยงเหนียงถูกท่าทีระวังรอบคอบของหลิวซื่อกระตุ้นให้ขอบตาร้อนผะผ่าว ที่แท้ก่อนหน้านี้ตนทำตัวร้ายกาจเช่นไรกันแน่ ถึงทำให้หญิงเก่งที่เฉียบขาดเสมอมาผู้นี้ระมัดระวังกับตนถึงเพียงนี้ได้
น่าขันที่ตนยังจะมีหน้ามาเรียกร้องกับมารดาบังเกิดเกล้าเยี่ยงนี้ ทั้งที่ตนเองในชาติก่อนสู้ปรนนิบัติอย่างรอบคอบในทุกรายละเอียดทั้งต่อหลูซื่อมารดาสามีที่เข้มงวดไร้หัวใจ…และต่อเหยาซื่อมารดาเลี้ยงผู้นั้น โดยที่ไม่เคยแสดงความกตัญญูต่อหลิวซื่อมารดาแท้ๆ เลยสักวัน
และที่ยิ่งน่าเสียดายคือตนอุตส่าห์รับใช้อย่างระมัดระวังถึงเพียงนั้น ก็ยังไม่ได้รับความสงสารเห็นใจจากหลูซื่อมารดาสามีและเหยาซื่อมารดาเลี้ยงแม้สักนิด สุดท้ายสองสกุลยังคงเห็นพ้องที่จะยกชุยผิงเอ๋อร์เข้าจวนในฐานะภรรยาอีกคนของซั่งอวิ๋นเทียน โดยไม่แม้แต่จะสอบถามตนก่อนสักคำ
ยามนี้มาคิดดูแล้ว ตนในตอนนั้นช่างน่าขบขันและน่าสมเพชจริงๆ
“ท่านแม่ ต่อไปท่านไม่ต้องโปรยกลีบดอกไม้หรอก เดิมนี่ก็เป็นน้ำที่ใช้นึ่งขนม มีกลิ่นหอมหวานของดอกซิ่งในตัวอยู่แล้ว อีกอย่างน้ำต้มที่ได้จากการนึ่งแป้งข้าวเหนียวมีสรรพคุณบำรุงผิวดีนักเชียว หลายวันมานี้มือลูกขาวเนียนขึ้นไม่น้อยเลย น้ำนี่ลูกตักมาให้ท่านพ่อกับพี่ชายล้างมือ ท่านแม่โปรยกลีบดอกไม้ลงไปด้วย หากพวกเขาบ่นว่าหอมเกินไปจะทำเช่นไรเล่า”
หลิวซื่อฟังถ้อยคำอันอบอุ่นนุ่มนวลของฉยงเหนียงจบก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงงัน รอจนเห็นบุตรสาวส่งยิ้มหวานให้ตน หลิวซื่อถึงได้ยิ้มแฉ่งจนหว่างคิ้วเกิดริ้วย่นอย่างช่วยไม่ได้ “เจ้าก็ไม่บอกแม่แต่แรก หากรู้ว่าน้ำนี่ให้พวกเขาใช้ อย่าว่าแต่โปรยกลีบดอกไม้เลย ต่อให้สาดทรายลงไปด้วยหนึ่งกำมือก็ขัดมือหยาบๆ ของพวกเขาให้เนียนขึ้นไม่ได้หรอก!”