ครั้นแล้วก็ได้ยินเซี่ยเจินเจินพูดอีกว่า “ตอนข้าอยู่ที่เรือนของท่านแม่ก่อนหน้านี้ ได้ยินสาวใช้สองคนแอบคุยกันว่าตอนกลางวันพี่สะใภ้ใหญ่พาลวี่อวิ๋นกลับไปส่ง ยังพูดด้วยว่าพี่ใหญ่ไปพบท่านแม่ตอนเช้าด้วยจุดประสงค์ที่จะส่งลวี่อวิ๋นกลับไปเช่นกัน ข้านั้นอิจฉาในวาสนาของพี่สะใภ้ใหญ่โดยแท้”
เซี่ยเจินเจินอิจฉาเสิ่นหยวนจริงๆ เพื่อปกป้องเสิ่นหยวนแล้ว หลี่ซิวเหยาถึงกับกล้าโต้เถียงเจี่ยงซื่ออย่างเปิดเผย ในขณะที่หลี่ซิวหยวนไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้ออกมาเด็ดขาด
หลี่ซิวหยวนกตัญญูต่อเจี่ยงซื่อยิ่ง เจี่ยงซื่อสั่งอะไร ไม่ว่าเป็นเรื่องถูกหรือผิดเขาล้วนจะทำตาม ถึงขั้นยังเรียกร้องให้เซี่ยเจินเจินเชื่อฟังเจี่ยงซื่อตามไปด้วย บอกว่าเช่นนี้ถึงจะเป็นการกตัญญูกตเวที
อันที่จริงเซี่ยเจินเจินอยากจะให้หลี่ซิวหยวนปกป้องนางต่อหน้าเจี่ยงซื่อสักครั้ง…แต่นางก็รู้ว่านี่เป็นเพียงความเพ้อฝันของตนเองเท่านั้น
เรื่องที่เซี่ยเจินเจินพูดในวันนี้ล้วนต่อบทสนทนาได้ค่อนข้างยาก ด้วยเหตุนี้เสิ่นหยวนจึงยิ้มก่อนเอ่ยว่า “เจ้าก็มีวาสนาเช่นกัน สามารถแต่งงานกับคนที่ตนเองชมชอบได้ นับว่าสมหวังแล้ว”
เทศกาลซั่งหยวนเมื่อปีที่แล้วเสิ่นหยวนได้ยินเซี่ยเจินเจินสารภาพรักกับหลี่ซิวหยวนเองกับหู
เซี่ยเจินเจินได้ยินแล้วก็มีสีหน้าอึ้งงันไปเล็กน้อย
เวลานั้นนางรักและชื่นชมหลี่ซิวหยวนจริงๆ ไม่ว่าอย่างไรก็อยากจะแต่งงานกับเขา แต่หากย้อนเวลากลับไปได้อีกครั้ง นางคิดว่าตนเองคงจะไม่แต่งงานอีกแล้ว
ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนไม่อยากใช้ชีวิตร่วมกับคนที่ปราศจากความอบอุ่น ไม่มีแรงผลักดันให้ฝ่าฟันชีวิตไปได้
ทว่าเซี่ยเจินเจินก็มิได้ตอบอะไร เพียงแค่ยิ้มเยาะตนเอง จากนั้นก็กล่าวกับเสิ่นหยวนอีกว่า “ช่วงก่อนข้าว่าง จึงได้ปักภาพทิวทัศน์ออกมา อยากจะนำมาทำเป็นฉากกั้น หากยามนี้พี่สะใภ้ใหญ่ไม่มีธุระก็ไปนั่งที่เรือนข้าเถิด ดูภาพที่ข้าปักสักหน่อยดีหรือไม่”
เสิ่นหยวนไม่อยากไปจึงปฏิเสธในทันที
แต่ไม่รู้ไฉนวันนี้เซี่ยเจินเจินถึงได้มีท่าทางกระตือรือร้นอย่างที่สุด รบเร้าให้เสิ่นหยวนไปให้ได้ ซ้ำยังบอกว่าเสิ่นหยวนแต่งเข้ามาสามเดือนกว่าแล้ว กลับไม่เคยไปเยือนเรือนของนางสักครั้ง วันนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเชิญเสิ่นหยวนไปนั่งให้ได้
ในช่วงสามเดือนกว่านี้เซี่ยเจินเจินมานั่งที่เรือนจิ้งหยวนหลายหน ตามมารยาทแล้วเสิ่นหยวนก็ควรไปนั่งที่เรือนของเซี่ยเจินเจินบ้างจริงๆ
เสิ่นหยวนจึงมองแสงอาทิตย์เหนือศีรษะ คิดว่าตอนนี้ยังห่างจากเวลาเลิกงานของขุนนาง หลี่ซิวเหยาและหลี่ซิวหยวนคงไม่กลับมาเร็วปานนี้แน่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้นางไปนั่งที่เรือนฮุ่ยชุนเสียหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก นางจึงตอบรับไป
เรือนฮุ่ยชุนอยู่ไม่ห่างจากที่สวนนี้นัก เวลาเพียงสองถ้วยชาก็เดินมาถึง
ประตูใหญ่ทาสีเขียว กำแพงขาวกระเบื้องดำ ใต้ชายคาแขวนโคมแดงไว้สองดวง หน้าประตูยังปลูกต้นหลิวที่ลำต้นมีขนาดเท่าปากชามไว้ด้วยต้นหนึ่ง ทว่ายามนี้อากาศยังเย็นอยู่ ใบหลิวจึงยังไม่งอกออกมา มีเพียงกิ่งเกลี้ยงๆ แกว่งไกวเบาๆ ท่ามกลางสายลมเย็น
เสิ่นหยวนพลันหยุดฝีเท้าลง จู่ๆ ก็ไม่ค่อยกล้าเดินเข้าไป
ชาติก่อนนางใช้ชีวิตอยู่ในเรือนฮุ่ยชุนนี้อย่างเงียบเหงาเดียวดายถึงห้าปี
เวลาเกือบสองพันวันนั้นนางไม่อยากหวนนึกถึงอีก เดิมทีก็คิดมาตลอดว่าตนเองวางเฉยกับเรื่องราวในชาติก่อนได้มากพอแล้ว แต่ครั้นมายืนอยู่หน้าประตูเรือนฮุ่ยชุนในยามนี้ นางก็อดจะรู้สึกแสบจมูกไม่ได้
ที่แท้มิใช่ข้าวางเฉยได้ ก็แค่ไม่กล้าหวนนึกถึงเท่านั้นเอง