หลังจากนางแต่งเข้าสกุลหลี่ หลี่ซิวหยวนไม่ชอบนาง ไม่เหลียวแลนาง ผู้อื่นก็ล้วนเหยียบย่ำข่มเหง เวลานั้นท่าทีที่ไฉ่เยวี่ยมีต่อนางก็ค่อยๆ กลายเป็นไม่เคารพ ยิ่งต่อมาหลี่ซิวหยวนรับอนุมาคนหนึ่ง รักใคร่โปรดปรานอย่างที่สุด ไฉ่เยวี่ยถึงกับถูกอนุผู้นั้นซื้อตัว เริ่มกระทำการลบหลู่นางทุกวิถีทาง ถึงขั้นว่ามีบางครั้งที่เสิ่นหยวนนึกสงสัยว่าที่นางได้รับพิษนั้นเป็นอนุผู้นั้นว่าจ้างไฉ่เยวี่ยให้วางยาใช่หรือไม่ อย่างไรไฉ่เยวี่ยก็เป็นสาวใช้ที่ใกล้ชิดนางที่สุด การจะวางยาพิษนางจึงเป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่ง
หากนางตายไปด้วยระดับความโปรดปรานที่หลี่ซิวหยวนมีต่ออนุผู้นั้น เป็นไปได้มากว่าจะยกอีกฝ่ายขึ้นเป็นภรรยาเอก
เพราะฉะนั้นสาวใช้ที่ไม่จงรักภักดีต่อเจ้านายอย่างไฉ่เยวี่ยเก็บไว้จะมีประโยชน์อันใด หลังนางเกิดใหม่ได้ไม่กี่วันเสิ่นหยวนก็หาเหตุผลว่าไฉ่เยวี่ยขโมยเสื้อผ้าเครื่องประดับนาง ให้คนส่งตัวอีกฝ่ายไปที่ว่าการ
แน่นอนว่าคุกใหญ่ของที่ว่าการไม่มีทางอยู่สบาย นับประสาอะไรกับที่นางจ่ายเงินให้ผู้คุมข้างในนั้น ‘ดูแล’ ไฉ่เยวี่ยเป็นพิเศษอีก
ตอนนี้เห็นเสิ่นเฉิงจางถามขึ้นมา เสิ่นหยวนก็หลุบตาลง เอ่ยตอบเสียงเบา “ท่านพ่อจำได้ไม่ผิด หัวหน้าสาวใช้ข้างกายลูกเดิมเป็นคนที่ชื่อไฉ่เยวี่ย เพียงแต่ลูกก็คิดไม่ถึงว่าสาวใช้นางนั้นจะเป็นคนเช่นนั้น ยามนั้นลูกยังอยู่บนเรือไปบ้านท่านตาที่ฉางโจว สาวใช้ผู้นั้นก็แอบพูดกับสาวใช้คนอื่นลับหลังว่าลูกไม่ได้รับความโปรดปรานจากท่านพ่อแล้ว เกรงว่าวันหน้าท่านพ่อจะไม่รับลูกกลับเมืองหลวงอีก นางเสียใจนักว่าตอนแรกไม่น่ามาเป็นสาวใช้ของลูกเลย ต่อมาพอถึงบ้านท่านตาได้ไม่กี่เดือน นางถึงกับขโมยเครื่องประดับล้ำค่าของลูกแล้วคิดจะหนีไป โชคดีที่ถูกหญิงรับใช้สูงวัยที่อยู่เวรกลางคืนพบเห็นเข้า นางถึงได้หนีไม่สำเร็จ เวลานั้นลูกผิดหวังและรู้สึกเจ็บใจจริงๆ จึงได้ใช้ข้อหาขโมยทรัพย์สินเจ้านายให้คนส่งตัวนางไปรับโทษยังที่ว่าการ”
นางหันหน้าไปมองไฉ่เวย ก่อนกล่าวกับเสิ่นเฉิงจางต่อว่า “แม้ที่ผ่านมาสาวใช้นางนี้จะเป็นเพียงสาวใช้ทำความสะอาดของลูก แต่นางเป็นคนซื่อสัตย์ นิสัยก็อ่อนโยนเชื่อฟัง ลูกจึงได้ยกนางขึ้นมาเป็นสาวใช้ประจำตัวเจ้าค่ะ”
“เรื่องนี้เจ้าทำดีแล้ว” เสิ่นเฉิงจางพยักหน้า “คนเป็นบ่าว สำคัญที่สุดคือต้องซื่อสัตย์ภักดีต่อเจ้านาย ไม่อาจแหกกฎ”
เขาพูดสะกิดไฉ่เวยอีกเล็กน้อยอย่างไม่เบาไม่แรง ให้นางซื่อสัตย์ภักดี ไฉ่เวยก้มหัวน้อมรับ
เสิ่นเฉิงจางถามเสิ่นหยวนอีกว่า “เจ้ามาถึงบ้านเมื่อไร”
“ลูกมาถึงก่อนยามเซินไม่นานเจ้าค่ะ” เสิ่นหยวนหลุบตาลง เสียงนุ่มนวลนอบน้อม
เสิ่นเฉิงจางนับเวลาดูแล้วก็กล่าวว่า “เจ้ามาถึงแล้วก็ตรงมาที่ห้องหนังสือนี้ของข้าเลย? ไม่ได้กลับไปพักก่อน?”
“ท่านเป็นท่านพ่อของลูก ไม่ได้พบท่านมาหนึ่งปี วันนี้ลูกกลับมาย่อมต้องมาพบท่านก่อน ไหนเลยจะไปพักผ่อนก่อนได้เล่าเจ้าคะ”
เสิ่นหยวนตอบได้เคารพนบนอบยิ่ง ทั้งยังแสดงความอาลัยอาวรณ์ที่ตนเองมีต่อบิดาออกมา เสิ่นเฉิงจางได้ยินแล้วย่อมรู้สึกปลาบปลื้มตื้นตันใจ
เขายกมือลูบเคราใต้คาง เห็นเสิ่นหยวนมีแววเหนื่อยล้าบนใบหน้า คิดถึงว่าเมื่อครู่นางยังคุกเข่าอยู่ในลานเรือนเป็นนานสองนาน เสิ่นเฉิงจางก็รีบพูดว่า “ตอนนี้เจ้ารีบกลับไปพักผ่อนเถอะ”
เสิ่นหยวนตอบรับคำหนึ่งด้วยน้ำเสียงนอบน้อม ทว่ายังไม่จากไป กลับหันไปมองไฉ่เวยแทน
ไฉ่เวยเข้าใจ ยื่นห่อผ้าสีหมึกขลิบแพรที่กอดไว้ในอ้อมแขนมาตลอดให้ด้วยสองมือ
เสิ่นหยวนรับมาเปิดออก ก่อนหยิบเสื้อคลุมสีครามเข้มปักลายกระเรียนและต้นสนอวยพรอายุยืนยาวที่พับเรียบร้อยตัวหนึ่งออกมาจากข้างใน ก่อนใช้สองมือประคองยื่นไปตรงหน้าเสิ่นเฉิงจาง “ลูกเห็นว่าช่วงนี้อากาศเย็นขึ้นแล้ว คิดว่าท่านพ่อเดินทางไปกลับจากทำงานเช้าเย็นอาจจะหนาว จึงได้ตั้งใจทำเสื้อคลุมมาให้ท่าน หากท่านพ่อใส่ทั้งเช้าทั้งเย็นก็ถือว่าลูกได้แสดงความกตัญญูเล็กน้อยแล้ว”