เวลานี้เองเสิ่นเซียงกลับเห็นกล่องหุ้มแพรอีกกล่องที่ชิงเหอถือไว้ในมือ จึงรีบเอ่ยถาม “นั่นคืออะไร ให้ผู้ใดกัน”
“นั่นเป็นของที่พี่ซื้อมาจากฉางโจว จะให้หงเอ๋อร์” เสิ่นหยวนวางถ้วยชาในมือลง ยิ้มกล่าวกับเสิ่นเซียง “คิดว่าจะมาหาเจ้าที่นี่ก่อน แล้วค่อยไปหาหงเอ๋อร์ จึงได้นำของที่จะให้เขาติดมาด้วย”
เสิ่นเซียงร้องอ้อคำหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไร ทว่าสายตากลับเหลือบไปทางกล่องนั้นเป็นระยะ
เสิ่นหยวนรู้ความคิดความอ่านของเสิ่นเซียง นางจะต้องคิดว่าของที่ตนให้เสิ่นหงดีกว่าของที่ให้นางเป็นแน่ ด้วยเหตุนี้เสิ่นหยวนจึงให้ชิงเหอเปิดกล่องในมือให้เสิ่นเซียงดู ก่อนจะยิ้มพูดว่า “หงเอ๋อร์ชอบอ่านหนังสือคัดอักษร พี่จึงไม่ได้ซื้ออะไรให้เขามาก แค่ซื้อจานฝนหมึกศิลาลายไหมแดงหนึ่งจาน แท่งหมึกเขม่าสนหนึ่งก้อน และหนังสือใหม่อีกสองเล่มเท่านั้น”
เสิ่นเซียงขี้เกียจเรียนหนังสือ ย่อมจะไม่สนใจของเหล่านี้ นางจึงเลื่อนสายตาหนีไม่มองอีก ทว่ายังคงทำหน้าตาเกียจคร้านอยู่ตลอด เสิ่นหยวนพูดสามคำ บางทีนางก็ไม่ตอบสักคำ มีบ้างที่ทำท่ารำคาญออกมาด้วย เฝิงมามาผู้นั้นก็คอยเปิดปากพูดกระแหนะกระแหนอยู่ข้างๆ ช่างไร้กฎเกณฑ์สิ้นดี
เสิ่นหยวนไม่ชอบเฝิงมามาผู้นี้จากใจจริง อยากจะเอ่ยปากตวาดด่าอยู่หลายครั้ง แต่เห็นแก่หน้าเสิ่นเซียง ไม่อยากทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกนางสองพี่น้องที่เดิมก็ไม่ดีอยู่แล้วยิ่งแย่ลงด้วยสาเหตุจากเฝิงมามา ฉะนั้นนางจึงยังคงอดทนต่อไป ไม่พูดอะไรออกมา
เรื่องบางเรื่องต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป…
เสิ่นหยวนนั่งได้ครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นจากขอบเตียงเตา เอ่ยถามเสิ่นเซียงด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ตอนนี้พี่จะนำของพวกนี้ไปให้หงเอ๋อร์ เซียงเอ๋อร์อยากไปด้วยกันกับพี่หรือไม่”
เสิ่นเซียงเบะปากอย่างดูแคลนอยู่บ้าง
นางดูถูกเสิ่นหง คนที่แค่พูดยังไม่คล่อง มิหนำซ้ำนิสัยยังปวกเปียกเชื่องช้าปานนั้นอีก
“ข้าเหนื่อยแล้ว อยากพักผ่อน ไม่ไปด้วยหรอก ท่านไปเองเถอะ” นางเอนตัวพิงอยู่กับหมอนอิงใบใหญ่ ร่างกายนิ่งไม่ไหวติง ท่าทีจะลุกขึ้นส่งเสิ่นหยวนก็ไม่มีแม้แต่น้อย
เสิ่นหยวนหาได้ใส่ใจ ยังคงพูดด้วยเสียงอ่อนโยนและใบหน้ายิ้มแย้ม “เช่นนั้นอีกสองวันพี่จะมาเยี่ยมเจ้าใหม่”
คราวนี้เสิ่นเซียงเพียงแค่นเสียงออกจมูก แค่พูดก็คร้านจะพูดแล้ว
และเพียงเสิ่นหยวนพาชิงเหอหมุนตัวเดินออกนอกประตูไป เสิ่นเซียงก็นั่งตัวตรง หยิบตลับใส่แป้งดอกมะลิและแป้งดอกปิ่นหยกขึ้นมาเปิดดูทันที
ขาวสะอาดเนื้อเนียนละเอียดอย่างที่คิดจริงๆ ดีกว่าแป้งที่ขายในตลาดมากนัก
เฝิงมามามองแป้งดอกมะลิตลับนั้น ปากกลับพูดว่า “คุณหนูใหญ่ก็จริงๆ เลยเชียว ที่ใดไม่มีแป้งดอกมะลิกับแป้งดอกปิ่นหยกขายบ้างเล่า ต้องซื้อจากฉางโจวกลับมาให้ท่านด้วยรึ นี่นางต้องการเยาะเย้ยว่าผิวของคุณหนูขาวไม่เท่านางกระมัง”
ปกติเสิ่นเซียงถือสาเรื่องสีผิวคล้ำของตนเองเป็นที่สุด เรื่องที่เสิ่นหยวนผิวขาวราวหิมะแรกก็ทำนางไม่ชอบใจมานานแล้ว ตอนนี้ได้ยินเฝิงมามาพูดเช่นนี้อีก ในใจนางก็โมโหขึ้นมาตามคาด จึงวางตลับแป้งในมือทิ้งลงบนโต๊ะ ใบหน้าแฉล้มเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง “นางแค่ขาวหน่อยเดียว กลับทำเหมือนกลัวผู้อื่นจะไม่รู้ ต้องมาคอยอวดเป็นประจำ” และพูดอย่างโกรธขึ้งอีกว่า “แป้งนี้ข้าไม่เอาแล้ว!”
กระนั้นในใจยังคงนึกเสียดาย ผ่านไปครู่หนึ่งก็ยื่นมือไปหยิบตลับแป้งมาส่องดูไปมา ครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนเรียกสาวใช้นามมู่เหลียนมาสั่งว่า “เจ้าออกไปสืบดูหน่อย พี่หญิงใหญ่ให้อะไรกับพี่หญิงรองและน้องหญิงสี่บ้าง”
นางอยากจะดูว่าในใจเสิ่นหยวนใช่คิดกับน้องสาวอย่างนางแย่ที่สุดหรือไม่
มู่เหลียนรับคำก่อนหมุนตัวถอยออกไป
เสิ่นเซียงเล่นข้าวของที่เสิ่นหยวนมอบให้นางเหล่านั้นต่อ รู้สึกว่ายิ่งมองก็ยิ่งชอบ เฝิงมามาที่ด้านข้างเห็นนางมีท่าทางเช่นนี้ ในใจก็คิดว่าอีกประเดี๋ยวต้องนำเรื่องนี้ไปบอกกับเซวียอี๋เหนียง
เซวียอี๋เหนียงเคยสั่งไว้ว่าทำให้คุณหนูสามกับคุณหนูใหญ่ไม่ลงรอยกันไปตลอดได้ถึงจะดี ดังนั้นเมื่อใดที่เฝิงมามาสบโอกาสก็จะพูดถึงเสิ่นหยวนในทางไม่ดีต่อหน้าเสิ่นเซียงเสมอ
หลังเสิ่นหยวนเดินออกจากประตูเรือนลวี่ฉี่แล้ว ก็คิดว่าประเดี๋ยวต้องไปถามเรื่องพื้นเพของเฝิงมามาจากสวีมามาเสียหน่อย ชาติก่อนนางไม่เคยสนใจเรื่องของเสิ่นเซียง ย่อมจะไม่สนใจเรื่องของแม่นมผู้หนึ่งที่อยู่ข้างกายอีกฝ่าย ทว่าตอนนี้ต้องสืบดูให้ละเอียดแล้ว
ในใจคิดเช่นนี้ แต่เท้ากลับไม่ชะงัก ยังคงพาชิงเหอเดินตรงไปที่เรือนเจ๋อหย่า
เรือนเจ๋อหย่าเป็นเรือนริมน้ำ ด้านในปลูกกล้วยน้ำว้าและไผ่เขียวไว้ ดูสงบเงียบอย่างที่สุด
เสิ่นหยวนให้ชิงเหอก้าวไปเคาะประตู เพียงครู่เดียวก็มีสาวใช้หน้าตาแฉล้มอายุราวสิบห้าสิบหกซึ่งแต่งกายงามเพริศพริ้งนางหนึ่งเดินมาเปิดประตูเรือน
ยามมองเห็นเสิ่นหยวนหางตาชี้ของสาวใช้ผู้นั้นก็กระดกขึ้น สายตาพินิจมองนางขึ้นลง จากนั้นก็เอ่ยปากถาม “เจ้าเป็นใคร”
โปรดติดตามตอนต่อไป