LOVE
ทดลองอ่าน เจรจาต่อ-ตาย ตอน ราคะ บทที่ 1-บทที่ 3
บทที่ 1
เวลาสิบห้านาฬิกาสิบห้านาทีของวันธรรมดาวันหนึ่งภายในธนาคารพาณิชย์ขนาดเล็ก พนักงานหญิงหน้าเคาน์เตอร์สามคนกำลังวุ่นวายกับลูกค้าและเอกสารทางการเงินซึ่งคั่งค้างอยู่ตั้งแต่ช่วงเช้า จึงไม่มีใครว่างพอที่จะเงยหน้าขึ้นมาดูเหตุการณ์รอบตัว ส่วนผู้จัดการสาขากับผู้ช่วยต่างนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของตนโดยมีพาร์ทิชั่นกระจกกั้นไว้เป็นห้องทำงานขนาดเล็กตรงด้านข้างเคาน์เตอร์บริการ ห้องเล็กๆ นั่นไม่มีประตูเพราะต้องการให้ลูกค้าสามารถเข้าไปติดต่อได้สะดวก และส่วนแม่บ้านวัยห้าสิบปีก็กำลังเช็ดกระจกหน้าห้องทำงานอย่างอารมณ์ดี
ลูกค้าชายในชุดกางเกงยีนแบบฟิตพอดีตัวกับเสื้อเชิ้ตแขนยาวลายสก็อตเดินเข้ามาในธนาคารโดยมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเปิดประตูกระจกให้ เขาก้มศีรษะนิดๆ พร้อมกับชูซองสีน้ำตาลในมือ รปภ. ส่งยิ้มให้อย่างสุภาพก่อนผายมือให้เขา
“เชิญครับ”
ชายคนนั้นเดินเลี้ยวไปที่ฝั่งซ้ายมือของธนาคารซึ่งเป็นสแตนด์วางเอกสารสำหรับทำธุรกรรมทางการเงินกับปากกาไว้อำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้า เขาหยิบใบรับฝากเงินขึ้นมาเพื่อกรอก แต่ในระหว่างนั้นมีสายเข้ามาพอดี ความสนใจของเขาจึงเบนไปที่โทรศัพท์มือถือของตน
ผ่านไปอีกราวห้านาทีสุภาพสตรีท่านหนึ่งก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้หลังจากเสียงอัตโนมัติขานเรียกลำดับหมายเลขซึ่งเป็นคิวของเธอ เมื่อไปถึงหน้าเคาน์เตอร์เธอยื่นสมุดบัญชีซึ่งมีสภาพเยินมากเล่มหนึ่งไปตรงหน้าพนักงาน
“คุณต้องการทำธุรกรรมอะไรคะ” พนักงานหญิงถามในขณะที่หยิบสมุดบัญชีเล่มนั้นขึ้นมาดู
“คือมันเป็นสมุดบัญชีของแม่ฉันน่ะค่ะ ท่านเสียชีวิตไปแล้ว ฉันอยากจะถอนเงินในบัญชีนี้ออกมา”
“สักครู่นะคะ” พนักงานคนนั้นเปิดสมุดบัญชีเพื่อดูเลขที่บัญชี เธอคีย์หมายเลขบัญชีลงไปในคอมพิวเตอร์ แต่แล้วก็ต้องขมวดคิ้วแน่น “คุณลูกค้ารอสักครู่นะคะ”
“ทำไมคะ มีปัญหาอะไรรึเปล่า”
“เอ่อ มีนิดหน่อยค่ะ เดี๋ยวต้องเรียกผู้จัดการมาดูหน่อยนะคะ รอสักครู่ค่ะ”
พนักงานหญิงยกหูโทรศัพท์ที่อยู่ข้างตัวเพื่อขอความช่วยเหลือจากผู้จัดการสาขา เธอเชิญเขาออกมาจากห้องทำงาน สุภาพสตรีท่านนั้นยืนรอ ขณะนั้นเสียงอัตโนมัติเรียกลูกค้าหมายเลขต่อไปให้มารับบริการที่เคาน์เตอร์ข้างๆ ในจังหวะเดียวกันผู้จัดการสาขาก็มาถึงหลังเคาน์เตอร์พอดี
“ผู้จัดการคะ ช่วยดูบัญชีนี้หน่อยค่ะ”
“ไหน มีอะไร”
ตอนนั้นเองที่วัตถุสีดำขนาดเหมาะมือถูกดึงออกมาจากซองกระดาษสีน้ำตาล พนักงานหญิงร่างอ้วนซึ่งนั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์สะดุ้งสุดตัวก่อนจะถีบเก้าอี้ที่มีล้อของตนให้เลื่อนไปทางด้านหลัง
“ห้ามเคลื่อนไหว! ใครขยับ กูยิง”
“ว้าย…ปืน!”
เสียงกรีดร้องของพนักงานหญิงอีกคนดังขึ้นทันที
…ปัง!…
“ปิดไฟ!”
คำสั่งนั้นดังสะท้อนทั่วห้อง มันเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าคนที่มีเจตนาร้ายไม่ได้มีเพียงแค่หนึ่ง ดวงไฟในธนาคารถูกปิดลงทีละดวง แม้แสงจากด้านนอกที่ส่งผ่านผนังกระจกใสเข้ามาจะยังมีอยู่ แต่บรรยากาศภายในกลับให้ความรู้สึกวังเวงและน่ากลัว นั่นเป็นเพราะไม่มีใครในธนาคารรู้ว่าพวกมันจะทำอะไรต่อไป
เสียงร้องครางดังขึ้น กระสุนเมื่อครู่เฉี่ยวไปที่แขนของพนักงานสาวคนที่เพิ่งเรียกให้ผู้จัดการสาขาออกมาจากห้อง อานุภาพของมันทำให้เกิดรอยแผลฉีกขาดและเลือดก็ไหลออกมาเป็นจำนวนมาก
ขณะนี้ทุกคนอาศัยแสงที่ลอดผ่านสติ๊กเกอร์ปิดกระจกธนาคารและแสงสว่างจากโทรทัศน์สองเครื่องซึ่งห้อยอยู่บนเพดานเป็นเครื่องช่วยสังเกตเหตุการณ์รอบตัว แล้วความโกลาหลก็เกิดขึ้นในนาทีต่อมา ลูกค้าของธนาคารวิ่งไปคนละทิศละทาง ชายร่างผอมคนหนึ่งซึ่งไม่พยายามปิดบังใบหน้าเดินไปที่หน้าประตูกระจกก่อนจะชูมือข้างหนึ่งขึ้นเหนือศีรษะ จากนั้นเสียงปืนก็ดังขึ้นอีกครั้ง
…ปัง!..
กระสุนนัดที่สองถูกยิงไปฝังอยู่บนเพดานห้อง มันทำให้ทุกคนที่วิ่งไปมาหยุดเคลื่อนไหวแล้วนั่งลงกับพื้น หลายคนขดตัวแน่นเพื่อให้เหลือพื้นที่สำหรับเป็นเป้าน้อยที่สุด แม่บ้านของธนาคารซุกตัวหลบอยู่ใต้สแตนด์วางใบรับฝากและถอนเงิน ตัวของเธอสั่นเทา สายตาเหลือบไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยซึ่งมีอายุไม่ห่างกันนัก แต่เขาคงช่วยเธอไม่ได้เพราะมีเพียงแค่กระบองไม้ธรรมดาๆ เท่านั้น
…ปัง!…
กระสุนอีกนัดถูกยิงโดยชายสวมเสื้อสก็อตซึ่งยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ ตอนนี้ทุกชีวิตภายในห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าไม่มีใครขยับ มีเพียงเสียงครางอย่างเจ็บปวดของคนที่ถูกยิงดังขึ้นเบาๆ เท่านั้น เขาออกคำสั่งอีกครั้ง
“อย่าคิดจะกดปุ่มเรียกเพื่อนนะมึง คราวนี้กูไม่ยิงแขนนะ กูยิงหัว”
แววตาเหมือนกระต่ายที่กำลังตื่นกลัวของพนักงานหญิงสามคนกับผู้จัดการสาขาอีกหนึ่งซึ่งอยู่หลังเคาน์เตอร์ แทนคำตอบได้ว่าไม่มีใครคิดจะต่อกรกับมัน คนที่กำลังบาดเจ็บใช้มือข้างขวากุมบาดแผลของตัวเองไว้ น้ำตาไหลเปรอะเปื้อนใบหน้าที่ถูกตกแต่งไว้อย่างประณีต
ชายร่างผอมซึ่งเป็นผู้ยิงปืนนัดที่สองตะโกนเสียงดัง “ออกมานั่งรวมกันบนเก้าอี้ เร็ว!”
เขาส่ายปืนไปมาทั่วทั้งห้องอย่างน่ากลัว ผู้จัดการสาขากับพนักงานซึ่งอยู่หลังเคาน์เตอร์ประคองเพื่อนที่ได้รับบาดเจ็บออกมารวมตัวกับผู้ช่วยที่เพิ่งถูกมือปืนร่างผอมต้อนออกมาจากห้องทำงาน ขณะนี้ลูกค้า พนักงาน แม่บ้าน และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยต่างนั่งเบียดกันบนเก้าอี้สามแถวซึ่งเป็นเก้าอี้สำหรับนั่งรอทำธุรกรรม ชายร่างผอมนับจำนวนคนทั้งหมด
“โหลนึงพอดีพี่”
“อื้ม…” คนตัวสูงกว่าที่ยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ตอบรับแล้วออกคำสั่งต่อ “เก็บของมีค่าด้วย”
“จ้ะ” คนรับคำสั่งดึงถุงผ้าใบไม่ใหญ่นักออกมาจากกระเป๋าเป้แล้วเดินไปหากลุ่มตัวประกัน “เอาโทรศัพท์ กระเป๋าสตางค์ และของมีค่าทั้งหมดใส่ในนี้ เร็ว!”
มันยื่นถุงผ้าให้ลูกค้าคนหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ที่สุดแล้วถอยออกมาคุมเชิง ก่อนจะโยนเป้ไปให้คนที่อยู่หน้าเคาน์เตอร์ ปืนในมือยังคงเล็งไปที่กลุ่มตัวประกัน ชายสวมเสื้อสก็อตเอาเท้าเขี่ยให้เป้เข้ามาอยู่ใกล้ตัวที่สุดแล้วออกคำสั่ง
“ผู้จัดการมานี่”
ผู้จัดการสาขาร่างอวบอายุประมาณห้าสิบปีเศษดูท่าทางหวาดกลัว เขาน่าจะมีภรรยาและลูกที่ต้องดูแล คงไม่อยากทำตัวเป็นฮีโร่เพื่อที่จะถูกยิงตายตอนนี้
“เร็ว!”
เสียงกระตุ้นเตือนทำให้ผู้จัดการสาขาลุกจากเก้าอี้ช้าๆ แล้วเดินก้มหน้าเข้าไปหาคนเรียก
“เข้าไปหยิบเงินสดทั้งหมดที่มีใส่ถุงไว้”
ผู้จัดการสาขาเหลือบตาขึ้นมามองอย่างกล้าๆ กลัวๆ แล้วเดินอ้อมไปทางด้านหลังเคาน์เตอร์ ปืนที่มือชายคนสั่งยังชี้มาทางเขาอยู่
คนร้ายอีกคนดูตื่นกลัวขึ้นมาหลังจากที่มองผ่านกระจกซึ่งมีสติกเกอร์โฆษณาผลิตภัณฑ์และบริการของธนาคารออกไปด้านนอก
“พี่!…ท่าทางพ่อจะมาแล้ว!”
เขาเห็นกลุ่มคนกำลังเคลื่อนไหวด้วยท่าทีน่าสงสัย แต่ก็ยังไม่มีใครขยับเข้ามาใกล้กระจกของธนาคารจนน่าวิตก
“ให้ รปภ.ล็อกประตูแล้วหาอะไรมาบังไว้”
“จ้ะ…เอ้า ลุง รปภ. มานี่ มาช่วยทำงานหน่อย”
คนถูกเรียกขาสั่นพั่บๆ กว่าจะประคองตัวลุกขึ้นได้ก็ใช้เวลาพอสมควรจนคนรอชักหงุดหงิด จึงรีบเดินเข้าไปกระชากแขนให้เดินเร็วขึ้น
“ล็อกประตูแล้วช่วยลากชั้นมาขวางไว้ด้วย”
ประตูถูกใส่กุญแจจากทางด้านใน แล้วคนทั้งคู่ก็ช่วยกันลากชั้นวางหนังสือที่ทำด้วยพลาสติกใสอย่างหนามากั้นประตูไว้ หนังสือและเอกสารทางการเงินซึ่งเคยวางอยู่บนชั้นปลิวลงพื้นไปหลายชิ้น คนที่เหลืออยู่บนเก้าอี้ต่างหันมองความเคลื่อนไหวทั้งทางหน้าเคาน์เตอร์และตรงประตูสลับกันไปมา ไม่มีใครกล้าที่จะลุกขึ้นสู้หรือสอบถามอะไรเพิ่มเติม