LOVE
ทดลองอ่าน เจรจาต่อ-ตาย ตอน ราคะ บทที่ 1-บทที่ 3
“ไอ้เวร…” หัสยุทธสบถทันทีที่โทรศัพท์ถูกตัดการสื่อสารไป “สรุปนะ มีคนบาดเจ็บเป็นพนักงานธนาคารหญิงหนึ่งคน คนร้ายต้องการแลกตัวเธอกับรถ หากในครึ่งชั่วโมงมันได้ตามที่ขอ มันจะปล่อยแม่บ้านหรือ รปภ. มาให้ด้วย แล้วเรื่องกล้องว่าไงรุสก์”
“คร้าบ ล็อกภาพได้แล้วครับเจ้านาย ผมเพิ่งเข้าไปดูกล้องของธนาคารได้เมื่อครู่นี้เอง ขอพี่วุฒิมาช่วยดูหน่อยครับ เสียงปืนที่ได้ยินมันแปลกๆ”
“โอเค เดี๋ยวให้วุฒิไป เช็กด้วยว่ารถพยาบาลมาถึงรึยัง”
วุฒิภาศพยักหน้ารับคำสั่งแล้วเตรียมลงจากรถ เขาหันหลังกลับไปสบตากับโอบเกียรติซึ่งยังประจำการอยู่ด้านหลังรถกระบะผ่านกระจก วุฒิภาศทำสัญญาณมือว่าเขากำลังจะลงจากรถ โอบเกียรติพยักหน้ารับก่อนสั่งการให้ลูกน้องอีกคนมาประกบตัววุฒิภาศลงจากรถไป
“มาแล้ว”
วุฒิภาศรายงานตัวง่ายๆ กับคนที่กำลังครอบครองเทคโนโลยีทุกชิ้นบนรถคันนี้อยู่ เขาหยิบเก้าอี้พับสำรองตัวหนึ่งติดมือมาแล้วกางออกตรงตำแหน่งหน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ตัวที่มีภาพจากกล้องวงจรปิดปรากฏ นาฬิกาบนหน้าจอคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งกำลังนับเวลาถอยหลัง นั่นเป็นเพราะปารุสก์กำลังจับเวลาเส้นตายที่คนร้ายขีดไว้ ชายร่างอวบโหลดทุกอย่างที่สงสัยขึ้นมาบนหน้าจอทุกจอที่มี แต่เขากลับถามเรื่องอื่นก่อน
“เจ้านายจะให้รถไหม”
“ยังไม่ให้อยู่แล้ว ต้องมีการขอเจรจาอีกครั้งก่อนเส้นตาย นายเจออะไร”
“พี่ดูนี่นะ ผู้ชายคนนี้” ภาพบนหน้าจอนิ่ง ปารุสก์ชี้ไปที่ชายคนหนึ่ง “เขาเข้าไปแล้วไม่ออกมาอีกเลย”
“คนสุดท้ายเหรอ”
“ใช่ คนสุดท้ายที่เข้าไป จากนั้นก็ไม่มีใครเข้าออกจากธนาคารอีกเลย”
“นี่จากกล้องไหน”
“ร้านเครื่องเขียน”
กล้องวงจรปิดจากร้านเครื่องเขียนซึ่งอยู่ติดกับธนาคารให้ภาพที่ไม่คมชัดนัก แต่ก็อยู่ในรัศมีที่ใกล้กว่าโฮมออฟฟิศซึ่งปารุสก์ได้ภาพมาเป็นแห่งแรก
“ถือเป้ด้วยเหรอ”
“อืม มีเป้ แต่ไม่ได้ใส่หมวกหรือแว่นดำ มันไม่ผิดกฎธนาคารน่ะ รปภ. ก็เลยให้เข้าไป”
“ไหนลองย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ซิ”
ปารุสก์กำลังจัดการกับเทปตามคำสั่ง ในขณะที่หัสยุทธทักเข้ามาในหูฟังของเจ้าหน้าที่หน่วย NIC อีกครั้ง
“เสียงปืนว่าไง”
“ยังไม่ได้ฟังเลยครับ” วุฒิภาศตอบ
“ช้าไปแล้วนะ”
“กำลังดูภาพอยู่ครับ ได้ภาพคนสุดท้ายที่เข้าไปในธนาคารแล้ว”
“ดี แล้วรถพยาบาลล่ะ”
“อีกห้านาทีถึงครับ” ปารุสก์ตอบแทน เขาเป็นคนแจ้งไปยังหน่วยฉุกเฉินของโรงพยาบาลซึ่งอยู่ใกล้สถานที่เกิดเหตุที่สุดก่อนวุฒิภาศจะขึ้นมาบนรถตู้
“รักษาเวลาด้วย”
“ครับ”
หัสยุทธเงียบเสียงไป ปารุสก์หันมาสบตากับวุฒิภาศแล้วทำปากขมุบขมิบว่า ‘เกือบไป’ มือของเขากำลังเลื่อนเทปไปช่วงก่อนหน้าที่ชายคนสุดท้ายจะโผล่เข้ามาในกล้อง ไม่นานวุฒิภาศก็ออกคำสั่งอีกครั้ง
“หยุด…หยุดตรงนี้” วุฒิภาศจ้องภาพนั้นอึดใจ “ผู้ชายคนนี้มีซองสีน้ำตาล ซูม”
ปารุสก์ขยายภาพซองสีน้ำตาลซึ่งถูกเหน็บอยู่ใต้รักแร้ของชายคนหนึ่งเข้ามา เขาเพิ่งสังเกตเห็นตอนนี้เองว่าผู้ชายคนที่ใส่เสื้อลายสก็อตนั้นถือซองเอกสารอยู่ด้วย
“ซองใส่เงินรึเปล่า”
วุฒิภาศส่ายศีรษะ “รอยยับบนซองไม่ได้เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม เล่นเทปต่อซิ”
เทปถูกปล่อยให้ภาพเคลื่อนไหวอีกครั้ง ชายคนนั้นเดินเข้ามาในรัศมีของกล้องแล้วหยุดยืนหน้าประตูกระจก เขาเลื่อนซองสีน้ำตาลซึ่งเหน็บไว้ใต้รักแร้มาถือไว้ในมือก่อนที่ประตูกระจกจะถูกเปิดออกจากด้านใน แล้วชายคนนั้นก็ผลุบหายเข้าไป
“ดูระยะห่างระหว่างผู้ชายคนที่มีซองเอกสารกับคนที่มีเป้ซิว่าสองคนนี้เข้าไปในธนาคารห่างกันกี่นาที”
ปารุสก์ต้องกลับมาสนใจเรื่องเวลา เขาจับจุดที่ชายคนที่มีซองสีน้ำตาลเหยียบเข้าไปในธนาคารและจุดที่ชายคนซึ่งมีเป้เข้าไปในนั้นเป็นคนสุดท้าย
“สามจุดหนึ่งสองนาที” ปารุสก์สรุป “สองคนนั้นเข้าไปในธนาคารห่างกันสามจุดหนึ่งสองนาที แต่ตอนนี้เราเหลือเวลาสิบเก้านาทีกว่าๆ ก่อนจะถึงเส้นตาย”
“โอเค ใจเย็นๆ ไอ้น้อง ไหนฟังเสียงปืนของนายซิ นายได้ยินเสียงปืนจากกล้องตัวไหน”
“กล้องธนาคารเลยพี่ ผมยังไม่ได้ดู แค่ฟังเสียง”
“อ้าว…”
“ก็บอกแล้วไงว่าดูไม่ทัน นั่งดูเทปของร้านเครื่องเขียนไปแล้วก็เปิดเสียงของเทปธนาคารไปด้วย เพราะเพิ่งได้เทปนี้มาเป็นเทปสุดท้ายก่อนที่พี่จะขึ้นรถมาไม่กี่นาทีเอง”
คราวนี้ภาพจากกล้องวงจรปิดของธนาคารถูกดึงขึ้นมายังจอด้านหน้าเก้าอี้ของปารุสก์ มันเป็นกล้องหน้าเคาน์เตอร์ที่สามารถมองเห็นด้านหลังของพนักงาน เก้าอี้ลูกค้า และประตูกระจก
“เลื่อนไปเวลาเดียวกันกับที่เราดูภาพจากกล้องร้านเครื่องเขียนเลย”
“ครับ ตั้งแต่บ่ายสามสิบนาทีนะ” ปารุสก์จับเวลาในเทปจากกล้องวงจรปิดในนาทีที่ต้องการได้แล้ว และในที่สุดเขาก็เห็น… “เข้ามาแล้ว คนใส่เสื้อลายสก็อต”
วุฒิภาศจับตาดูจอภาพอย่างตั้งใจไม่ต่างจากปารุสก์ เขายังติดใจเจ้าซองใส่เอกสารสีน้ำตาลที่ถูกพับครึ่งไว้อยู่ ชายใส่เสื้อลายสก็อตวางมันไว้บนเคาน์เตอร์ไม่ห่างตัว มองจากด้านหลังก็เห็นว่าชายคนนั้นกำลังจะเขียนเอกสารสำหรับการทำธุรกรรมทางการเงิน
“ดูก็ปกตินะพี่”
วุฒิภาศไม่ตอบ เขายังใจเย็นพอที่จะดูภาพต่อไปเรื่อยๆ ผู้ชายคนนั้นใช้โทรศัพท์มือถือในขณะที่ยังหันหลังให้เคาน์เตอร์ธนาคาร เมื่อเลิกใช้แล้วจึงเดินมานั่งที่เก้าอี้รอเรียกคิว คราวนี้สามารถเห็นใบหน้าของชายคนนั้นได้ชัดเจนมากที่สุด แต่ก็เป็นเวลาไม่นานนักเพราะความเคลื่อนไหวในจอถูกดึงความสนใจไปที่ด้านหน้าเคาน์เตอร์และสุภาพสตรีท่านหนึ่ง
“เกิดอะไรขึ้น เร่งเสียงหน่อยซิ”
“เต็มที่ได้แค่นี้แหละพี่ ดูเหมือนลูกค้าจะมีปัญหาอะไรซักอย่าง”
“คนนั้นใคร คนที่กำลังเดินออกมาจากห้อง”
“ป้ายตรงหน้าห้องบอกว่าเป็นผู้จัดการสาขา อย่าเพิ่งสนใจเลย นั่นมาแล้ว…คนถือเป้”
ปารุสก์กำลังจับตามองประตูกระจก ในขณะที่วุฒิภาศกลับสนใจบริเวณหน้าเคาน์เตอร์ซึ่งเป็นจุดให้บริการ เหตุการณ์ต่อจากนั้นเกิดขึ้นเร็วมากเมื่อชายคนที่ใส่เสื้อเชิ้ตลายสก็อตเดินเข้ามารับบริการ ไม่กี่วินาทีถัดมาเสียงปืนนัดแรกก็ดังขึ้น
…ปัง!…
“เฮ้ย!” ปารุสก์สะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงปืน รู้ทันทีว่าตนเองจับตามองผิดคน
“มันยิงพนักงานก่อน”
…ปัง!…
ภาพในจอดับลงทันที
“แล้วนัดที่สองก็กล้องวงจรปิด”
ปารุสก์หันมาจ้องใบหน้าด้านข้างของวุฒิภาศ “อัจฉริยะ…พี่รู้ได้ยังไงว่าไอ้สองคนนี้มันมาด้วยกัน”
“ไม่รู้ แค่เดาจากท่าทางของมัน นายมีภาพแค่นี้เหรอ”
“ครับ”
“พยายามแคปหน้าคนร้ายออกมาให้ได้ภาพที่ชัดที่สุด”
“รับทราบ”
“เดี๋ยวฉันจะกลับไปรายงานหัวหน้าเอง” วุฒิภาศจ้องมองจอนิ่งแล้วครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเลือกคำตอบไว้ให้หัสยุทธ “ปืนประกอบขึ้นเอง”
(ติดตามต่อวันที่ 24 ก.ค. 62)