ผ่านไปไม่นานอาสดาก็เอียงหน้ามาทางด้านหลังแล้วตะโกนรายงานความคืบหน้า “ถึงแล้ว คนมุงเต็มเลย”
“เดี๋ยวฉันโทรหาสารวัตรโอบเกียรติเอง”
วุฒิภาศบอกแล้วรีบกดโทรศัพท์ เสียงเรียกเข้าดังแค่ครั้งเดียวสายก็ถูกรับ
“พวกนายถึงรึยัง”
“ถึงแล้วครับ ให้ผมเข้าทางไหน”
“สุดอาคารพาณิชย์ เคลียร์สถานที่ไว้ให้แล้ว แล้วหัวหน้าพวกนายล่ะอยู่ไหน”
“กำลังมาครับ”
“ช้าตลอด เร็วเข้า!”
สายถูกตัดฉับ วุฒิภาศผู้มีอารมณ์เย็นที่สุดของหน่วยไม่ได้สนใจกับอาการกระโชกโฮกฮากของโอบเกียรติ เพราะเห็นเป็นเรื่องปกติ นายตำรวจหนุ่มหันไปตะโกนบอกคำตอบให้อาสดารู้ “เข้าทางด้านข้างของอาคาร มีเจ้าหน้าที่รออยู่”
“รับทราบ”
รถตู้ได้รับการอำนวยความสะดวกจากเจ้าหน้าที่ภาคสนามของโอบเกียรติ พวกเขาเปิดทางกลุ่มฝูงชนที่ยืนมุงดูเหตุการณ์อยู่รอบๆ เพื่อให้รถของหน่วย NIC เข้าไปจอดในตำแหน่งที่โอบเกียรติกำหนดไว้ เมื่ออาสดาจอดรถเรียบร้อยแล้วก็ยื่นมือผ่านช่องกระจกที่สามารถเปิดปิดได้เพื่อขอเครื่องมือสื่อสารของตนจากปารุสก์ จากนั้นก็ลงจากรถแล้วเข้าไปพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ภาคสนามที่เขาคุ้นเคย
วุฒิภาศออกจากรถอีกทางเพื่อไปหาโอบเกียรติ เขาทิ้งให้ปารุสก์ประจำอยู่ในรถตู้ตามลำพังเพื่อคอยประสานงานเรื่องการค้นหาข้อมูล โดยทุกคนจะมีวิทยุติดตามตัวเครื่องเล็กเสียบพ่วงกับหูฟังเพื่อใช้ในการสื่อสารระหว่างกัน โอบเกียรติกับการุณและพิบูลย์ยังคงซุ่มตัวอยู่ด้านหลังรถกระบะ เวลานี้เป็นเวลาที่โรงเรียนอนุบาลเลิกแล้ว ผู้ปกครองต่างก็มารับลูกหลานของตนตามเวลา ส่วนใหญ่จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับธนาคารที่อยู่ฝั่งตรงข้ามถนน แต่พวกเขารับทราบเหตุการณ์หลังจากที่มีการบอกเล่าแบบปากต่อปาก และส่วนใหญ่สมัครใจที่จะอยู่รอดูเหตุการณ์ ซึ่งนั่นยิ่งทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานได้ยากขึ้น
ขณะนี้เป็นเวลาสิบหกนาฬิกาห้านาที โอบเกียรติมองเห็นวุฒิภาศกำลังเดินฝ่าเชือกกั้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เขาจึงรีบวิ่งสวนออกไปหา
“มีเสียงปืนดังขึ้นสองถึงสามนัดก่อนที่เราจะเข้ามา” โอบเกียรติพูดเร็วๆ
“กี่นาทีแล้วครับ”
“เกือบชั่วโมงแล้ว ไม่มีคนเข้าออกธนาคารตลอดเวลาที่เกิดเหตุ มีการเจรจาไปหนึ่งรอบแต่ไม่มีการตอบรับ เราพยายามจะเข้าไปใกล้กว่านี้ แต่เกิดเสียงปืนดังขึ้นอีกนัดซะก่อนเลยต้องเรียกพวกนายมา”
“ยังไม่มีการเรียกร้องอะไรเลยเหรอครับ”
โอบเกียรติส่ายหน้า “วิญญูบอกว่าทางด้านหลังอาคารเป็นตลาด ตอนนี้ฉันให้คนดักทางเข้าออกทุกทางไว้แล้ว”
ทางฟากอาสดา เขาพยายามเดินหาตัววิญญูจนพบ คนทั้งคู่ยืนคุยกันข้างกำแพงซึ่งอยู่ด้านหลังอาคารพาณิชย์ วิญญูอยู่ในชุดพร้อมรบ ทั้งเสื้อกันกระสุน แว่นตา ถุงมือ และอาวุธปืน แม้จะยังไม่ได้ขึ้นลำกล้อง แต่ก็เตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นมากทีเดียว อาสดารู้สึกทุกครั้งว่ามันดูเป็นเรื่องที่เกินกว่าเหตุ
“นายคิดว่าเรื่องมันจะใหญ่ขนาดนั้นเลยเหรอ นี่คนในตลาดไม่เป็นอันทำมาหากินกันแล้ว”
“แล้วนายจะเสี่ยงให้มันใหญ่ก่อนไหมล่ะ งานของฉันคือป้องกันและจัดการ เพราะฉะนั้นการเตรียมตัวคือหัวใจสำคัญ…รู้ไว้ซะด้วย”
“ครับๆๆ แล้วนี่เป็นทางออกทางเดียวเหรอ”
“ใช่ ปกติแต่ละห้องจะมีทางออกสองทางคือด้านหน้าและตรงจุดนี้” วิญญูชี้มือไปที่กำแพง “มันเป็นทางออกด้านหลังสำหรับกรณีฉุกเฉิน แต่บางบ้านเขาปิดตายด้านหลังของอาคารตัวเองไว้เลย ก็จะทำให้มีทางเข้าออกได้แค่ทางเดียว”
“ทำไมล่ะ” อาสดาสงสัยว่าทำไมผู้คนจึงไม่อยากมีทางออกฉุกเฉินเผื่อไว้ในกรณีที่อาจจะเกิดอันตรายขึ้นภายในอาคาร
“ก็กลัวคนจากตลาดปีนเข้ามาปล้นไง”
“เอ้า เวรกรรม” เขาส่ายหน้า “แล้วนี่นายคุยกับเจ้าของห้องคนอื่นรึยัง”
“ยังไม่ลงรายละเอียดมาก แต่เอาตัวออกมาจากอาคารหมดแล้ว และก็กันพวกเขาออกจากฝูงชนไว้แล้วด้วย รอพวกนายมาทำงานต่อ”
“แท้งกิ้ว” อาสดาตบบ่าวิญญูเบาๆ แต่ฝ่ายนั้นกลับหลบแบบเนียนๆ
เสียงในหูของอาสดาดังขึ้น นายตำรวจหนุ่มจึงหันความสนใจไปที่เสียงของปารุสก์แทน
“เจ้านาย เข้ามาแล้ว ได้ชื่อเจ้าของอาคารมาแล้วด้วย ถ้าต้องการให้ประสานงานอะไรบอกได้เลย”
“โอเค รับทราบ เดี๋ยวไปเจอหัวหน้าก่อน”
อาสดายกมือขึ้นโบกลาวิญญูโดยไม่ได้พูดอะไร เขาวิ่งเหยาะๆ กลับไปทางด้านหน้าของอาคารพาณิชย์