LOVE
ทดลองอ่าน เจรจาต่อ-ตาย ตอน ราคะ บทที่ 4-บทที่ 6
เขาต้องขับรถของ NIC กลับไปจอดไว้ที่ใกล้อาคารสำนักงานแล้วขับรถเก๋งกลางเก่ากลางใหม่ของตัวเองกลับบ้าน หัสยุทธเคยชินกับการกลับเข้าบ้านในเวลาค่อนคืนไปแล้ว และมีอีกคนที่เคยชินไม่ต่างกัน นั่นคือสาวสวยวัยเจ็ดสิบซึ่งไม่ยอมให้มีผมขาวปรากฏบนศีรษะ
เธอนั่งสวดมนต์อยู่หน้าหิ้งพระตอนที่รถของหัสยุทธเข้ามาจอดในโรงจอดหน้าทาวน์เฮ้าส์ขนาดสามชั้น สามสิบตารางวา ซึ่งมีพื้นที่โล่งหน้าบ้านไว้สำหรับทำโรงจอดรถกับสวนขนาดเล็ก พร้อมกับหลังบ้านไว้เป็นลานซักล้าง ชายหนุ่มปิดประตูรั้วซึ่งสูงแค่เอวแล้วล็อกรถ เพื่อนบ้านของเขาส่วนใหญ่ต่างปิดไฟเงียบ คงจะเข้าสู่นิทรารมณ์กันไปแล้ว จะเหลือก็เพียงสาวสวยในบ้านของเขานี่แหละ หัสยุทธรู้ดีว่าป้าของเขาจะยังไม่หลับหากหลานรักยังไม่กลับถึงบ้าน
ชายฉกรรจ์วัยสี่สิบพำนักอยู่กับป้าวัยชราตามลำพังดูจะไม่ค่อยมีทางเป็นไปได้มากนัก แต่ทั้งคู่ก็ใช้ชีวิตเช่นนี้มาสิบกว่าปีจนชิน ทันทีที่หัสยุทธเดินขึ้นบันไดไปถึงชั้นสองละอองดาวก็เดินออกมาจากห้องพระซึ่งอยู่ตรงข้ามกับห้องนอนของเธอพอดี เธอสูงแค่หัวไหล่ของหัสยุทธแต่ดูแข็งแรง ผิวหนังย่นและตกกระบ้าง ผมยาวรวบไว้เป็นมวยด้านหลัง ดูก็รู้ว่าทำสีผมฝืนธรรมชาติเพราะมองไม่เห็นผมขาวแม้สักเส้น เธอสวมแว่นตากรอบสีทอง จมูกเล็กรั้น ริมฝีปากบางเฉียบ ใส่ชุดสีขาวทั้งชุด ตรงหัวไหล่มีผ้าสไบสีเดียวกันพาดไว้ด้วย ชายหนุ่มเป็นฝ่ายทักก่อน
“หวัดดีคนสวย วันนี้เป็นยังไงบ้าง”
หญิงชราที่มีรอยยับบนใบหน้าน้อยกว่าอายุจริงยิ้มขื่น “มือไม่ขึ้น”
“ห๊า ยังไปเล่นไพ่บ้านป้าหวานอยู่เหรอ ระวังตำรวจจับ”
“จับก็ให้หลานไปช่วยสิ”
“หลานเป็นตำรวจนักเจรจานะ ถ้าจะให้ไปช่วย ป้าต้องหาใครสักคนในวงไพ่มาจับป้าเป็นตัวประกันแล้วล่ะ”
ละอองดาวหัวเราะขำกับสำบัดสำนวนของหลานโข่ง “แล้วกินข้าวมารึยัง”
“แวะกินข้าวหมูแดงข้างทางมาแล้วครับ ป้าล่ะ”
“ป้าไม่กินข้าวเย็น หัสก็รู้นี่ คาร์โบไฮเดรตเป็นพิษต่อความงามนะ แต่เมื่อเย็นป้าต้มจับฉ่ายใส่กระดูกหมูหม้อใหญ่ไว้ พรุ่งนี้เช้าน้ำซุปจะอร่อยเข้าเนื้อพอดี”
“ลาภปาก แล้วเดือนเสี้ยวไปไหน”
“เจ้าเสี้ยวเหรอ เฮ้อ…” หญิงชราถอนใจ “ให้ป้าเปิดแอร์ให้ตั้งแต่สี่ทุ่ม ตอนนี้นอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงแล้วมั้ง”
“เฮ้ อย่างนี้ต้องตักเตือนกันหน่อย ไม่งั้นก็ต้องให้ช่วยจ่ายค่าไฟ ผมเข้าไปหามันหน่อยนะ”
“อืม ไปสิ”
หัสยุทธหมุนตัวไปฝั่งตรงข้ามกับห้องพระ เดินไปแค่สามก้าวก็ถึงประตู เขาเปิดมันเบาๆ เพราะกลัวจะเป็นการรบกวนสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในนั้น และเมื่อบานประตูถูกเปิดให้กว้างออกเขาก็เห็นเจ้าขนนิ่มสีครีมนอนอยู่บนพรมเช็ดเท้าปลายเตียงของละอองดาว
“ฮ้า วันนี้เป็นเด็กดี ไม่ขึ้นไปนอนบนเตียง”
คนที่เดินตามหลังเข้ามาหัวเราะเบาๆ “ใครว่าเป็นเด็กดี มันฉลาดจะตาย ตรงที่มันนอนน่ะแอร์ตกพอดี”
“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง”
หัสยุทธนั่งลงบนพื้นใกล้กับเจ้าเดือนเสี้ยว มันค่อยๆ ลืมตาขึ้นมามองเขาแล้วกลับทำไม่ใส่ใจ แค่ยกศีรษะขึ้นมานิดแล้วแกล้งหลับต่อ
“เจ้าแมวจอมหยิ่ง”
เขาพูดปนขำ แล้วเริ่มลูบไล้ขนสีครีมของมันอย่างแผ่วเบา ตอนได้เดือนเสี้ยวมาใหม่ๆ มันยังเล็กและมีขนสีขาวตลอดทั้งตัว แต่เมื่อโตขึ้นสีขนของมันตรงใบหน้า หู เท้า และหางกลับเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้น มีสิ่งเดียวที่ไม่เคยเปลี่ยนคือดวงตาสีฟ้าสดใสของมัน และชื่อของมันก็ได้มาจากขนสีขาวเล็กๆ ซึ่งขึ้นแซมขนสีเข้มตรงกลางหน้าผาก ละอองดาวบอกว่ามันมีรูปร่างคล้ายพระจันทร์เสี้ยว
“ไหนใครบอกว่าแมวไทยขี้อ้อน ไม่เห็นใช้ได้ผลกับเจ้านี่เลย”
เดือนเสี้ยวขยับตัวนิดๆ คล้ายอึดอัดกับสัมผัสของมือสาก แต่จำต้องยอมทนเพราะเขาเป็นคนที่จ่ายค่าไฟให้มันได้นอนห้องแอร์อย่างสุขสบาย ละอองดาวตามมานั่งลงบนปลายเตียง เธอเฝ้ามองแล้วยิ้มขำกับความสัมพันธ์ของชายหนุ่มและแมวสาวคู่นี้
“อยู่กับป้ามันก็อ้อนดี มันอาจจะไม่ชอบผู้ชายมั้ง”
“เป็นเลสเบี้ยนเหรอแก” หัสยุทธหัวเราะร่า “ดี จะได้ไม่ต้องมีลูกกับใคร”
ละอองดาวเห็นแววเครียดและเหนื่อยล้าบนใบหน้าและแววตาของหลานชาย หัสยุทธมีชีวิตเพื่องานมากเกินไป และงานที่ทำอยู่ก็กำลังกัดกร่อนความมีชีวิตชีวาของเขาไปทุกที
“วันนี้ดีไหม”
จู่ๆ ละอองดาวก็ถามขึ้น ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นสบตากับคนถามแล้วพยายามหาคำพูดดีๆ มาตอบ แต่กลับถูกดักคอเสียก่อน
“บอกมาเถอะ”
หัสยุทธส่ายหน้าช้าๆ มือยังไม่หยุดเกาคางเจ้าเดือนเสี้ยวซึ่งตอนนี้มันคงเหนื่อยใจที่จะทำสีหน้ารำคาญชายหนุ่มแล้ว จึงเอาแต่นอนนิ่ง “ไม่ดีครับ”
“มีคนตายเรอะ” หัสยุทธพยักหน้า “ถ้าไม่ชอบ ไม่ลองหางานอย่างอื่นทำล่ะ”
“มันก็…ไม่เชิงไม่ชอบ ผมอยากเป็นคนที่เข้าไปพูดคุยกับคนร้ายเป็นคนแรก เพื่อฟังและสังเกตว่าเขาต้องการอะไร ผมตื่นตัวเต็มที่ที่จะได้แก้ปัญหาให้พวกเขา เพราะผมมองว่าเขาคือคนที่กำลังมีปัญหาแล้วกำลังจะทำให้คนอื่นๆ มีปัญหาตามไปด้วย ถ้าเราแก้ที่เขาได้ คนที่ถูกจับเป็นตัวประกันก็จะรอดไปด้วย เหตุผลนี้แหละที่ทำให้ผมยังทำงานนี้ต่อไปได้”
“แล้วไม่มีใครที่จะทำหน้าที่นี้ได้แล้วเหรอ นอกจากหัสน่ะ”
“ก็คงมี นี่ผมก็กำลังฝึกลูกน้องของตัวเองอยู่”
“ในโลกนี้มีไม่กี่อาชีพที่ได้เห็นคนตายทุกวัน แต่หัสก็เลือกที่จะทำอาชีพนั้น ถ้าเป็นตำรวจสืบสวนสอบสวนอย่างเดียวป้าคงไม่ค่อยห่วงเท่าไร แต่เรื่องที่ต้องพูดกับโจรโดยที่มีปืนของมันจ่อเราอยู่นี่สิ…”
ชายหนุ่มหยุดเกาคางเจ้าเดือนเสี้ยวกะทันหันจนมันต้องโงหัวขึ้นมาดูอีกครั้งด้วยความสงสัย “ผมยังโอเคกับมันครับป้า ไม่ต้องห่วงหรอก สัญญาว่าจะไม่อยู่กับงานนี้จนสิ้นอายุราชการ” เขายิ้มน้อยๆ
“ทั้งเสี่ยงทั้งเครียด”
“แต่ก็สุขใจนะที่ได้ช่วยเหลือคน”
“เฮ้อ ชะตากรรมของคนเราไม่เหมือนกัน ป้าก็พยายามเข้าใจแต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้”
“ขอบคุณครับ” เขายกมือขึ้นไปตบหัวเข่าของคนเป็นป้าเบาๆ “ไปนอนดีกว่า พรุ่งนี้ยังมีงานต่อ”
“จ้ะ แล้วพรุ่งนี้ป้าจะลุกขึ้นมาอุ่นแกงให้”
หัสยุทธลุกขึ้นยืน “ขอบคุณครับ ป้าก็นอนได้แล้วนะ”
“ไม่ต้องห่วงป้าหรอก ป้านอนวันละไม่กี่ชั่วโมงก็พอแล้ว”
“สมกับเป็นป้าของตำรวจจริงๆ”
หัสยุทธยิ้มแล้วเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้เดือนเสี้ยวอารมณ์ค้างที่ปลุกมันขึ้นมาแล้วกลับเกาคางให้แป๊บเดียว เจ้าแมวหน้าหยิ่งลุกขึ้นแล้วกระโดดขึ้นไปบนเตียง มันทิ้งตัวลงข้างต้นขาละอองดาวแล้วเอาศีรษะวางไว้บนตัก หญิงชรานึกขำ
“ทำไมแกไม่อ้อนเขาอย่างนี้บ้าง มัวแต่ไว้ท่า รักเขาก็ต้องแสดงออกสิ รู้ไหม”
ละอองดาวยอมสละเวลาเกาคางให้เดือนเสี้ยวต่ออีกนิดก่อนที่จะเข้านอนตอนเกือบเที่ยงคืนครึ่งไปแล้ว