อาการบาดเจ็บที่หัวไหล่สร้างความเจ็บปวดให้กับวิรุฬมากกว่าที่เขาคิด แต่มันก็คุ้มค่าเมื่อผู้บังคับบัญชาเข้ามาดูแลเขาทั้งเรื่องค่าใช้จ่ายและการเยียวยาจิตใจ เขากลายเป็นฮีโร่ของพนักงานในธนาคารอย่างที่ตั้งใจไว้ ทุกคนเห็นเขาเป็นเจ้านายที่เสียสละและกล้าหาญ พร้อมที่จะปกป้องผู้ใต้บังคับบัญชาในสถานการณ์คับขัน ถวิลเข้ามาพบเขาในห้องพักฟื้นเมื่อสองชั่วโมงที่ผ่านมาพร้อมกับคำปลอบใจและคำสัญญาว่าเขาจะได้รับเกียรติยศจากเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ทั้งหมด
ชายวัยกลางคนเพ่งมองภรรยากับลูกสาวซึ่งนอนขดตัวบนโซฟาเฝ้าไข้ด้วยความรู้สึกเป็นกังวล เขาหวังว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย ราบรื่น และไม่มีใครก้าวเข้ามาเป็นอุปสรรคสำคัญในเรื่องนี้ ไอ้ตุ่นตายไปแล้ว เหลือก็แค่โอ่งกับเมียของมัน เขาหวังว่าจะจัดการเรื่องที่เหลือได้
วิรุฬต้องนอนคะแคงข้าง เพราะแผลที่หัวไหล่ทำให้เขาไม่สามารถนอนหงายได้ นึกก่นด่าตุ่นในใจที่มันตกใจเพราะความเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ชายวัยกลางคนต้องค่อยๆ หายใจเพื่อที่ร่างกายจะได้ไม่ขยับมาก เขาปิดตาลงเพื่อทบทวนถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งถูกสอบปากคำไป เขาต้องไม่ทำตัวให้น่าสงสัย สิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้ดีแล้วและมันเป็นประโยชน์ต่อตัวเขาเองอย่างมาก
‘คนร้ายเข้ามากันกี่คนครับ’
‘สองครับ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก พอเสียงปืนดังขึ้นผู้คนข้างในก็โกลาหลไปหมด’
‘แล้วคนร้ายใช้วิธีไหนในการควบคุมฝูงชน’
‘ก็มันมีปืนไงครับ ใครๆ ก็ต้องกลัวปืนกันทั้งนั้น’
‘พนักงานมีการกดสัญญาณเตือนภัยไหมครับ”
‘กดไม่ทันครับ เธอโดนยิงซะก่อน ต่อจากนั้นโจรมันก็ควบคุมพวกเราไว้ได้ทั้งหมด ผมกลัวว่ามันจะฆ่าคน ทั้งพนักงาน ทั้งลูกค้าต่างหวาดกลัวกันมาก เราหวังว่าเมื่อมันได้เงินไปแล้ว มันจะรีบออกจากธนาคารไป’
‘แล้วบาดแผลตรงข้างกกหูของคุณได้มายังไงครับ’
‘มันใช้ปืนฟาดเข้ามาที่หน้าของผม ตอนที่ผมพยายามจะต่อสู้เพื่อปกป้องคนในนั้นครับ’
‘ก่อนออกจากธนาคารคนร้ายใช้วิธีไหนในการเลือกตัวประกันครับ’
‘เอ่อ ผมก็ไม่รู้ รู้แต่ว่ามันอยากให้ผมเป็นโล่กำบังให้มันเท่านั้นเอง โอย…’
‘ท่าทางคุณคงจะเจ็บแผล งั้นผมจะหยุดสอบปากคำไว้แค่นี้ก่อน รอให้คุณอาการดีขึ้นกว่านี้แล้วทางตำรวจจะขอรบกวนสอบปากคำอีกครั้งนะครับ’
‘ครับ ผมยินดีให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ขอบคุณมากครับ’
…ดีแล้ว เขาทำได้ดีแล้ว…
แปดนาฬิกาสามสิบห้านาทีของวันใหม่เป็นเวลาที่บุษบงกชควรจะต้องอยู่ในห้องทำงานของเธอแล้ว แต่ตอนนี้เธอกลับติดอยู่ในลิฟต์องโรงพยาบาลพร้อมกับพยาบาลอีกสองคนที่เอาแต่พูดถึงละครไทยซึ่งเพิ่งฉายจบไปเมื่อคืน คุณหมอวัยสามสิบห้าที่กำลังสนุกกับการทำงานในแผนกนิติเวชไม่เคยรู้สึกเหนื่อยกับงานหากมันเกี่ยวกับการได้ช่วยเหลือผู้คน แต่สิ่งที่ทำให้เหนื่อยกลับเป็นการติดต่อประสานงานกับเจ้าหน้าที่รัฐในหน่วยงานอื่น โดยเฉพาะพวกตำรวจ เธอย่นจมูกเล็กๆ ของตัวเองอย่างขัดใจเมื่อนึกถึงข้อความที่ถูกส่งมาให้ตั้งแต่เมื่อคืนว่าเช้านี้เธอต้องเจอกับอะไรบ้าง
เมื่อถึงชั้นเจ็ดบุษบงกชก็รีบพุ่งตัวออกไป รองเท้าส้นสูงกระทบพื้นเป็นจังหวะเร่งรีบ ทำให้ชายกระโปรงอัดพลีตสีพาสเทลสะบัดน้อยๆ คุณหมอซึ่งมีผมยาวสีบรูเน็ตกำลังเดินไปด้วย ค้นหาของบางอย่างในกระเป๋าถือไปด้วย เธอต้องการที่ผูกผมเพื่อใช้รวบผมดัดหยิกเป็นลอนนั้นให้พ้นต้นคอก่อนที่จะถึงห้องทำงาน
“อยู่ไหนๆ อ้อ เจอแล้ว”
ดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยความตื่นเต้นเมื่อพบของที่ต้องการในกระเป๋าสุดลี้ลับของตัวเอง ที่มีทั้งกระเป๋าเครื่องสำอาง โทรศัพท์มือถือ Kindle สำหรับอ่านหนังสือ ไอแพดเครื่องเล็ก ไอพอดสำหรับฟังเพลง หูฟัง แถมยังกระเป๋าสตางค์ใบใหญ่ เธอจะรู้สึกขอบคุณกว่านี้หากกระเป๋าแบรนด์เนมที่ถืออยู่จะออกรุ่นเป้ทหารมาไว้สำหรับให้ผู้หญิงใส่ของใช้ที่จำเป็นพวกนี้ได้เพียงพอ
ในที่สุดเธอก็รวบผมเสร็จก่อนจะถึงประตูห้องทำงานหนึ่งก้าว บุษบงกชรีบผลักประตูเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็วพร้อมกับคำทักทายเพื่อนร่วมงานของเธอ ซึ่งก็มีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น
“อรุณสวัสดิ์จ้ะพจ”
จังหวะโผล่พรวดพราดกับจังหวะเอ่ยคำทักทาย เกือบซ้อนทับกับจังหวะที่ได้สบตากับใครบางคน และเป็นใครบางคนที่เธอไม่คิดว่าจะต้องได้เจอในเวลาที่ตัวเองพลาดอย่างนี้ เขาอยู่ในชุดไม่เป็นทางการ คงจะกำลังปฏิบัติงานในหน้าที่พนักงานสืบสวนอยู่ เธอเกลียดเวลาเขาใส่เสื้อยืดคอวีสีดำแนบลำตัว เพราะเธอจะบังคับสายตาของตัวเองกลับมาได้อย่างยากลำบากมาก
“มาสาย”
หญิงสาวตั้งใจถอนหายใจหนักให้เห็น “เจ็ดนาที”
“สาย”
“กวนประสาท”
บุษบงกชบ่นพึมพำกับตัวเองแล้วรีบเดินไปที่โต๊ะทำงาน เธอวางกระเป๋าบนโต๊ะซึ่งห่างจากตำแหน่งที่แขกนั่งอยู่ประมาณสองเมตร แล้วแกล้งหยิบโน่นจับนี่โดยไม่ได้สนใจเขา