ชายสองคนออกมาจากทางด้านหลังของธนาคารด้วยสภาพที่ฝ่ายหนึ่งโดนหิ้ว เนื้อตัวเปียกปอนตั้งแต่ศีรษะจนถึงกลางหลัง เสื้อเชิ้ตสีขาวลู่ติดลำตัว คอของวิรุฬห้อยพับแต่เขายังไม่หมดสติ ตัวประกันในห้องโถงต่างร้องคราง
“พี่ทำอะไรมันน่ะ” ตุ่นถามเสียงสั่น
“ให้มันหายใจในน้ำนิดหน่อย คราวนี้ไม่กล้าหือกับเราแล้ว นั่งตรงนี้อย่าคิดจะทำอะไรอีกนะมึง”
โอ่งขู่ก่อนจะผลักร่างอวบของตัวประกันให้นั่งลงบนเก้าอี้แถวแรก พนักงานธนาคารร้องเรียกชื่อของวิรุฬเพื่อให้แน่ใจว่าเขายังมีสติดีอยู่ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง โอ่งรู้ดีว่าตำรวจกำลังรอให้มีการแลกเปลี่ยนตัวประกันเกิดขึ้น เขาพยักหน้าให้ลูกน้องเพื่อให้ตุ่นควบคุมพนักงานที่บาดเจ็บให้ยืนขึ้นพร้อมกับแม่บ้านและ รปภ. เมื่อทุกคนอยู่ในตำแหน่งที่พวกมันพอใจแล้วโอ่งจึงรับสาย
“เมื่อไรนายจะส่งตัวประกันออกมา” หัสยุทธเปิดฉากถามก่อน
“ไม่ จนกว่ารถกระบะจะมาจอดใกล้หน้าธนาคารมากกว่านี้ ให้คนขับรถมาจอดหน้าประตู ติดเครื่องยนต์ไว้ แล้วลงจากรถ ถ้าไม่ทำตามที่สั่งก็ไม่ต้องหวังว่าจะได้ตัวประกัน”
หัสยุทธกระดิกนิ้วให้สัญญาณวุฒิภาศ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่พวกเขารู้กันเพียงสองคน วุฒิภาศลงจากรถทันที แล้วส่งสัญญาณบอกอาสดาที่นั่งอยู่บนรถตู้ต่อ จากนั้นเขาก็เรียกโอบเกียรติมาคุย
“ว่าไง” โอบเกียรติถาม
“มันจะหนีแล้ว มันจะปิดการเจรจาแค่นี้ครับ”
“งั้นตัวประกันที่เหลือล่ะ”
“มีความเป็นไปได้หลายทาง ถ้าทุกคนไม่ถูกควบคุมไว้ก็อาจจะตายแล้ว”
“ตั้งหลายคนเนี่ยนะ”
“หากมันปิดการเจรจาในที่เกิดเหตุ แสดงว่ามันต้องหาทางหนีทีไล่ที่มีตัวประกันไปด้วย เพื่อรับรองว่าตัวเองจะปลอดภัยจนกว่าจะพ้นรัศมีการติดตามของตำรวจ”
“งั้นจะเป็นใครก็ได้สิ”
“ใช่ครับ อาจจะเป็นใครก็ได้ทั้งนั้น”
โอบเกียรติกำลังใช้ความคิด แล้ววิทยุตำรวจซึ่งเหน็บไว้ข้างสะโพกของเขาก็ส่งเสียงเรียก นายตำรวจร่างใหญ่รีบรับแล้วสื่อสารทันที วุฒิภาศกำลังจะกลับไปประจำที่ของตนแต่โอบเกียรติก็หยุดเขาไว้ก่อน
“คนของผมแจ้งว่าตอนนี้มีญาติของตัวประกันมารายงานตัวแล้วสามคน”
“สามคน…ถ้ารวมกับพนักงานเจ็ดคนก็เป็นสิบ เรามีตัวประกันอยู่ในนั้นไม่ต่ำกว่าสิบ” วุฒิภาศทำท่าคิดนิดหนึ่งก่อนพูดเบาๆ “ผมไม่คิดว่ามันจะฆ่าคนทั้งหมดได้หรอก”
“งั้นก็ต้องเตรียมบุกแล้ว” โอบเกียรติสั่งให้ลูกน้องของตนพร้อมจู่โจมทุกวินาที
กลับมาที่การเจรจาอีกครั้ง ดูเหมือนหัสยุทธจะยอมจำนนต่อความต้องการของผู้ร้าย เนื่องจากมันให้ผู้จัดการสาขามาพูดกับเขาเป็นครั้งที่สอง น้ำเสียงที่ได้ยินนั้นไม่สู้ดีนัก และยังคงยืนยันว่ารถกระบะของตำรวจต้องจอดอยู่หน้าประตูธนาคารเท่านั้น
หัสยุทธครุ่นคิดเพียงลำพัง จากประสบการณ์ที่ผ่านมาเขารู้ดีว่าในสถานที่เกิดเหตุมักจะเกิดความเครียดได้ง่าย และการที่คนถืออาวุธไว้ในมือเกิดความเครียดแบบสะสมนั้นไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย หากคนร้ายต้องการจะจบการเจรจาจริง เขาก็ต้องเพิ่มความมั่นใจให้ตำรวจว่าจะสามารถทำงานต่อได้ เพราะเรื่องมันจะต้องไม่จบลงตรงที่ผู้ร้ายสามารถหนีไปได้อย่างลอยนวล
“เอาล่ะ ตกลง ฉันจะเป็นคนขับรถกระบะไปจอดหน้าธนาคารเอง”
“ติดเครื่องไว้ ลงจากรถไปให้ห่างมากที่สุด แล้วการปล่อยตัวประกันถึงจะเกิดขึ้นหลังจากนั้น”
“โอเค” หัสยุทธวางสายลง เขาเริ่มพูดกับปารุสก์อีกครั้ง “ฉันจะทิ้งเครื่องมือสื่อสารของนายไว้ในรถ จับสัญญาณไว้ให้ดีนะ”
“ครับเจ้านาย”
“เตือนเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายที่อยู่รอบสถานที่ให้เตรียมตัวให้พร้อม หากผู้ร้ายพาตัวประกันออกจากพื้นที่ได้สำเร็จต้องมีการติดตามอย่างเร่งด่วน”
ปารุสก์รับคำสั่ง หัสยุทธจึงเริ่มดึงเครื่องมือสื่อสารที่ติดตัวเขาออก แต่ไม่ได้ปิดการรับส่งสัญญาณ โอบเกียรติเดินเข้ามาเกาะขอบหน้าต่างฝั่งคนขับเพื่อวางแผนร่วมกันกับหัสยุทธ
“ฉันสั่งให้ลูกน้องเตรียมการแล้วนะ ทีมแรกจะอยู่กับนาย ทีมที่สองจะบุกเข้าไปทางด้านหลังของธนาคารทันทีที่คนร้ายเดินออกมา ส่วนทีมสุดท้ายรออยู่ในรถอีกคันแล้ว ถ้าคนร้ายออกจากตรงนี้เมื่อไรพวกนั้นก็พร้อมติดตามทันที”
“อืม”
โอบเกียรตินึกหมั่นไส้ เขาอุตส่าห์พูดตั้งยาว แต่อีกฝ่ายครางอืมออกมาแค่คำเดียว หัสยุทธกำลังซุกเครื่องมือลงใต้เบาะนั่งข้างคนขับ เมื่อเรียบร้อยแล้วเขาก็ลงจากรถอีกครั้ง
“วิญญูหามุมยิงได้แล้ว ถ้าจำเป็น…”
หัสยุทธหันมาสบตาเพื่อนร่วมงานด้วยใบหน้าเรียบเฉย