ขณะนี้ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว มีเพียงแสงสว่างจากเสาไฟ อาคาร ป้ายโฆษณา และรถราบนท้องถนนเท่านั้น ภายในธนาคารยังคงมืดสนิท แม้แต่แสงจากหน้าจอโทรทัศน์ที่เคยกะพริบผ่านกระจกให้เห็นตอนค่ำก็ถูกคนด้านในปิดไปเรียบร้อยแล้วเช่นกัน
หัสยุทธยืนขึ้นเต็มตัว เขาสูงไล่เลี่ยกับโอบเกียรติแต่ตัวไม่หนาเท่า สีหน้าท่าทางของเขาดูเย็นชาไม่ค่อยแสดงอารมณ์นัก นักเจรจาต่อรองของกรมตำรวจกระดิกนิ้วเรียกลูกน้องของตนและลูกน้องของโอบเกียรติที่อยู่รอบๆ รถกระบะมารวมตัวกัน เขาพยายามจะยืนใกล้ๆ กับคนขับรถฉุกเฉินเพื่อให้อาสดาได้ยินแผนการต่อไปด้วย
“ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ผู้ร้ายน่าจะมีด้วยกันสองคน มันต้องการรถ ฉะนั้นก็รับประกันได้เลยว่ามันจะหยุดเจรจาทันทีเมื่อมันได้สิ่งที่ต้องการ จากข้อมูลที่พยายามรวบรวมมาทำให้คาดเดาได้ว่าน่าจะมีตัวประกันอยู่ไม่ต่ำกว่าสิบคน หนึ่งในนั้นบาดเจ็บและกำลังจะออกมาพร้อมกับ รปภ. และแม่บ้าน พวกมันคงตั้งใจจะใช้สามคนนี้เป็นโล่ มันเพิ่งออกคำสั่งให้ตำรวจเอารถกระบะไปจอดหน้าธนาคาร ถ้าไม่ทำ มันจะไม่ปล่อยใครออกมาเลย”
โอบเกียรติขมวดคิ้วแน่น “แสดงว่าจะหนีแน่”
“ใช่ มันจะขึ้นรถก่อนแน่นอน แล้วคาดว่าจะเอาตัวประกันคนอื่นไปด้วย คงต้องให้หน่วยของนายรับมือต่อ ฉันจะพยายามเจรจาจนถึงที่สุด ถ้าหยุดมันไม่ได้ก็คงต้องปล่อยให้มันเอารถไป”
“แล้วเรื่องอาวุธล่ะ ฉันควรระวังอะไรบ้าง”
“จากกล้องวงจรปิดวุฒิบอกว่าน่าจะเป็นปืนประกอบขึ้นเอง”
“ถ้าเป็นเหมือนปืนปากกา มันก็ต้องใส่กระสุนทีละนัด”
“อืม เป็นโชคดีของเรา มันคงไม่ยิงมั่วแน่ แต่ถ้ามันมีตัวประกันอยู่ด้วย เราก็ไม่ควรเสี่ยงให้มันใช้ปืนอยู่ดี มีอะไรจะถามอีกไหม” หัสยุทธกวาดสายตามองทุกคน “ถ้าไม่มีก็เริ่มทำงานกัน”
โอบเกียรติตบบ่าหัสยุทธครั้งหนึ่งแล้วหันไปสั่งงานลูกน้องของเขา ได้ยินแว่วๆ ว่าจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นแบ็กอัพให้หัสยุทธสามนาย และแน่นอนว่าทุกนายมีสิทธิ์จะใช้อาวุธปืนได้ทันทีที่มีความจำเป็น
การทำงานระหว่างทีมของโอบเกียรติกับหัสยุทธไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก นอกจากการปฏิบัติงานภาคสนามที่เกิดขึ้นจริงหลายครั้งแล้ว การฝึกหลายรูปแบบพวกเขาก็เคยผ่านมาด้วยกัน เพราะฉะนั้นแทบจะไม่มีคำพูดใดๆ หลุดออกมานอกจากความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน ถ้าหัสยุทธอยู่ข้างหน้า โอบเกียรติต้องประกบด้านหลัง และถ้าหัสยุทธไร้ซึ่งอาวุธ โอบเกียรติต้องมั่นใจว่าเขามีคนมากกว่าคนร้ายหลายเท่าเพื่อปกป้องเพื่อนร่วมงานของเขา
หัสยุทธตรวจสอบเสื้อกันกระสุนของตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย บรรยากาศด้านนอกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปเมื่อหน่วยจู่โจมของโอบเกียรติพร้อมอาวุธครบมือมายืนประจำจุดของตน ผู้คนด้านนอกธนาคารสามารถมองเห็นพวกเขาได้ง่ายกว่าคนที่อยู่ด้านใน ตอนนี้หน้าอาคารพาณิชย์ห้องอื่นต่างก็มีตำรวจซุ่มอยู่ ดวงไฟถูกเปิดไม่มากนัก ทั้งนี้เพื่อต้องการพรางสายตาจากคนร้าย ฝูงชนถูกกันออกห่างกว่าเดิม แม้กระทั่งถนนใหญ่ก็ถูกกั้นเส้นทางเดินรถไปแล้วหนึ่งเลน ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของผู้คนที่จะสัญจรผ่านไปมา
วุฒิภาศทดสอบสัญญาณที่เครื่องรับของตนเป็นครั้งสุดท้าย “หัวหน้าจะขึ้นรถแล้ว นายพร้อมนะ”
“พร้อมครับพี่ สัญญาณบนรถชัดเจนดี กล้องบนหลังคารถของเราเปิดเรียบร้อย ถ้าไอ้ลูกหมาออกมาเมื่อไรผมถ่ายภาพได้แน่นอน”
“ดีมาก ฉันจะอยู่ด้านขวามือของหัวหน้า ส่วนอาสจะอยู่บนรถตู้ การเจรจาจะจบตรงที่ผู้ร้ายขึ้นรถ”
“มีคำสั่งสกัดไหม”
“ไม่มี หน่วยจู่โจมจะรับเรื่องต่อ นายติดตามสัญญาณในรถต่อไป”
“รับทราบ”
เมื่อพูดธุระกับปารุสก์จบ วุฒิภาศก็เดินไปเกาะหน้าต่างรถด้านคนขับเพื่อแจ้งข่าวสารกับหัวหน้าของเขาก่อนปฏิบัติการจะเริ่มขึ้น
“รุสก์พร้อมแล้วครับ หัวหน้าโอเคไหม”
“หิวข้าว”
วุฒิภาศอมยิ้ม “มีอะไรที่ผมต้องห่วงไหม”
“เมื่อหน้าที่ของหน่วยเราจบ ต้องมั่นใจว่าตัวประกันทุกคนจะถูกจับแยกสอบสวนตั้งแต่คืนนี้ เราต้องการข้อมูลทุกอย่างเพื่อบันทึกคดี”
“ผมทราบดีครับ”
“งั้นก็เริ่มกันเลย”
หัสยุทธสตาร์ตรถกระบะแล้วเตรียมเคลื่อนมันไปยังด้านหน้ารถฉุกเฉินของโรงพยาบาล เขายกมือออกมานอกหน้าต่างเป็นสัญญาณบอกเจ้าหน้าที่ทุกคนว่าภารกิจสำคัญกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ณ บัดนี้