LOVE
ทดลองอ่าน เจ้าชายฉบับมือสอง บทที่ 2
ทว่าระหว่างจะหันไปสำรวจอย่างอื่นในห้องต่อ น้ำหนึ่งก็พบหนังสือที่ปฐวีเก็บเอาไว้บนชั้นเล็กเหนือหัวเตียงเข้าเสียก่อน จากตำแหน่งของมันทำให้คิดว่าคงเป็นหนังสือชุดสุดรักสุดหวงของเขา ซึ่งหลายเล่มในนั้นถูกห่อเอาไว้ด้วยกระดาษไขที่เคยฮิตอยู่ช่วงหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว
ความรู้สึกวาบไหวในอกพลันเกิดขึ้นอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวเมื่อน้ำหนึ่งได้เห็นกระดาษไขพวกนั้น ก่อนจะเรียกความทรงจำส่วนลึกสุดที่นานแค่ไหนก็ไม่อาจลืมเลือนขึ้นมา
ใครใช้ให้แกแตะต้องมัน ไสหัวไป! ออกไปเดี๋ยวนี้!
เสียงกรีดร้องจากในวันวานดังแว่วเข้ามาในโสตประสาทของหญิงสาวที่กำลังก้าวถอยห่างออกไปจากชั้นหนังสือโดยไม่ตั้งใจ ก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงเรียกดังขึ้นข้างหลัง
“คุณหนึ่ง…”
ปฐวีชะงักเมื่อเห็นน้ำหนึ่งหันขวับมามองด้วยใบหน้าซีดขาว ขณะที่ข้างหลังของเธอคือชั้นหนังสือบนหัวเตียงของเขา
“ผมทำให้ตกใจเหรอ”
“เปล่า” น้ำหนึ่งเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ไม่อยากจะยอมรับว่าการได้เห็นปฐวีโผล่หน้าเข้ามาทำให้ความรู้สึกหนาวยะเยือกจนแทบทำให้หัวใจของเธอกลายเป็นน้ำแข็งแปรเปลี่ยนเป็นความอบอุ่นอย่างฉับพลัน
ก็แค่…อุ่นขึ้นนิดเดียวเท่านั้นแหละ
“นี่คุณย่าคงให้มาล่ะสิ” น้ำหนึ่งว่าพลางบุ้ยใบ้กลับไปยังตู้หนังสือชั้นบนสุดซึ่งล้วนแต่เป็นหนังสือที่คุณย่าเขียนทั้งหมด
“มันเป็นชุดหนังสือที่แม่ผมสะสมไว้ต่างหาก แต่ถ้าเป็นเล่มหลังๆ ผมหาซื้อมาเก็บไว้เองทั้งหมด” ปฐวีอธิบายให้ฟังละเอียดยิบ
“แต่พิมพ์ดีดนั่น ของคุณย่าแน่นอน หนึ่งจำได้”
พิมพ์ดีด…ที่ปฐวีไม่คิดว่าน้ำหนึ่งจะจำได้ทำให้เขาชะงักไปอย่างคาดไม่ถึง แต่น้ำหนึ่งกลับคิดว่าเขากลัวเธอรู้ทันเรื่องที่เขาจะเอาไปประมูลขาย
“ใช่ ผมขอคุณย่าไว้เอง บางทีก็เอามาลองใช้งานบ้างเหมือนกัน มันให้ความรู้สึกคลาสสิกดีน่ะ”
ถึงแม้ปฐวีจะเป็นแค่เด็กที่คุณย่าขอรับมาอุปการะตั้งแต่เจ็ดขวบเพราะการเสียชีวิตของแม่เขา ไม่ใช่หลานแท้ๆ อย่างน้ำหนึ่ง ทว่าคุณย่าก็ให้ความรักความเอาใจใส่แก่เขาและหญิงสาวเท่าๆ กัน ไม่เคยเข้าข้างหลานในไส้ให้เขาต้องรู้สึกน้อยใจเลยสักครั้ง ทั้งยังยกของรักของหวงอย่างพิมพ์ดีดเครื่องนี้ให้ชายหนุ่มด้วยความเต็มใจเพราะเห็นว่าเขาเป็นเด็กดีมาตลอดอีกต่างหาก
“ไม่เชื่อหรอก พี่วีจะเอาไปขายมากกว่า”
ปฐวีไม่โต้ตอบอะไรนอกจากมองหญิงสาวอย่างอ่อนอกอ่อนใจ “แล้วทำไมเมื่อกี้ต้องทำท่าตกใจขนาดนั้นด้วย ขวัญอ่อนจริงๆ เลยคุณหนึ่ง”
“เปล่าสักหน่อย หนึ่งแค่…ไม่ชอบหนังสือที่ห่อกระดาษไขน่ะ มันดูแปลก”
“แต่มันช่วยถนอมหนังสือนะ น่าเสียดายว่าห่อแล้วทำให้เห็นปกไม่ชัด บางคนก็ว่าห่อแล้วไม่สวย เลยเลิกฮิตไป…ตอนที่แม่ยังเปิดร้านหนังสือก็สั่งซื้อมาห่อให้ลูกค้าเยอะเลย เพราะแม่ชอบเป็นพิเศษ”
หญิงสาวฟังจบก็พยายามเลิกสนใจเรื่องดังกล่าว เพราะไม่อยากนึกถึงความทรงจำร้ายๆ ในอดีตอีก ก่อนจะจ้องมองปฐวีที่ยืนอยู่ตรงปากประตูแล้วแหวใส่เขาเหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้
“จริงสิ เมื่อกี้พี่ว่าน้ำหอมของหนึ่งเป็นน้ำยาดับกลิ่นหนังสืองั้นเหรอ”
“อ้าว แล้วจะให้ผมตอบว่าไงล่ะ อ้อ…คงเป็นกลิ่นน้ำหอมของคุณหนึ่งที่มาขอนอนกับผมเมื่อคืนอย่างงี้น่ะเหรอ”
พอจบคำพูดเท่านั้น น้ำหนึ่งก็หน้าแดงก่ำ พยายามอย่างสุดชีวิตที่จะไม่ร้องกรี๊ดออกมาลั่นบ้าน แต่ท่าทางนั้นกลับทำให้คนที่ควรจะสำนึกแล้วรีบขอโทษเธอหลุดหัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่
“ไอ้พี่วี!”
“อย่าร้องนะคุณหนึ่ง บ้านผมไม่ได้มีผนังกันเสียงด้วย ขืนคุณหนึ่งกรี๊ดใส่หน้าผมตอนนี้ คนข้างบ้านต้องได้ยินแน่ๆ”
ปฐวียกมือทั้งสองข้างขึ้นเป็นเชิงห้าม พยายามไม่มองสีหน้าบึ้งตึงของหญิงสาวที่ออกจะน่าขันในความคิดของเขา
“รีบลงไปกินข้าวดีกว่านะ หิวหรือยังครับ”
“ไม่ หนึ่งไม่หิว จะไปไหนก็ไปไป๊ ไม่อยากเห็นหน้าพี่อีก”
น้ำหนึ่งจ้ำพรวดเดียวเข้าไปผลักอกปฐวีให้พ้นหน้าห้องแล้วปิดประตูใส่ดังปัง ก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงด้วยอารมณ์อันบูดบึ้ง หากเมื่อนึกอะไรขึ้นได้ ความขุ่นมัวในอารมณ์ก็จางลงและค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยความสมใจนิดๆ บนใบหน้า
ฮึ…กล้าต่อปากต่อคำดีนัก แต่อีกไม่นานหรอก พี่วีจะต้องได้รับบทเรียนราคาแพงจนหัวเราะไม่ออกแน่!
ปฐวีเดินลงบันไดไปก็ได้แต่ส่ายหัวให้กับความเอาแต่ใจของน้ำหนึ่ง แต่มาคิดดูอีกที เมื่อครู่เขาก็ออกจะพูดจาแรงไปหน่อยเหมือนกัน นี่ถ้าแม่ยังอยู่แล้วมาได้ยินเข้าคงต้องดุว่าเขาใช้คำไม่ให้เกียรติผู้หญิงแน่เลย
แต่…ถ้าไม่ใช่เพราะน้ำหนึ่ง เขาก็คงไม่พลั้งปากพูดแบบนั้นออกไป ปฐวีพยายามหาข้อแก้ตัวให้ตัวเองขณะมาหยุดฝีเท้าอยู่กึ่งกลางบันไดโดยไม่รู้ตัว
สุดท้ายชายหนุ่มก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะเดินย้อนกลับไปหน้าห้องแล้วเคาะประตูเรียกหญิงสาวที่อยู่ข้างใน
“คุณหนึ่ง…คุณหนึ่งครับ”
“อะไรอีกล่ะ” มีเสียงสะบัดจากหญิงสาวดังตอบกลับมา
“หิวหรือยังครับ ลงไปกินข้าวดีกว่านะ” ทั้งที่ตอนแรกเขาตั้งใจจะมาขอโทษ แต่พอเอาเข้าจริงกลับไม่ค่อยอยากจะพูดออกมาเสียอย่างนั้น
เกิดความเงียบขึ้นหลายอึดใจ เหมือนน้ำหนึ่งกำลังลังเลว่าจะตอบอย่างไรดี แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะกระฟัดกระเฟียดไม่ยอมหายงอน
“ไม่ อยากจะกินก็กินไปสิ มาถามทำไม”
“โอเคๆ” ปฐวีเอ่ยออกมาอย่างยอมแพ้ “ผมขอโทษ ผมมันคนปากไม่ดีอย่างนี้เอง คุณหนึ่งก็รู้ดี”
“เชอะ…รู้ตัวแล้วก็ดี”
ถึงแม้น้ำเสียงของน้ำหนึ่งจะฟังดูอ่อนลงแล้วแต่ก็ไม่ยอมเปิดประตูออกมาอยู่นั่นเอง ปฐวีเองก็ขี้คร้านจะงอนง้อไปมากกว่านี้จึงไม่ได้พูดอะไรต่อไปอีก อันที่จริงเขาไม่น่าจะมาขอโทษตั้งแต่แรกเลยด้วยซ้ำ เพราะถ้าน้ำหนึ่งไม่พอใจเอามากๆ อย่างนี้ อีกไม่นานก็คงจะตะบึงตะบอนออกไปหาโรงแรมหรูๆ สักแห่งอยู่เอง
แต่ถึงจะคิดได้อย่างนั้น ปฐวีก็ไม่กล้าทำจริงอยู่ดี ถ้าจะโทษคงต้องโทษชะตาชีวิตอันแปลกประหลาดระหว่างเขาและครอบครัวของน้ำหนึ่งที่ทำให้เขาไม่อาจตัดขาดจากคุณหนูผู้เอาแต่ใจไปได้จนแล้วจนรอด
ช่างเถอะ…ตอนนี้ยังไม่หิวแต่พอหายโกรธก็คงจะหิวขึ้นมาเอง