LOVE
ทดลองอ่าน เจ้าชายฉบับมือสอง บทที่ 2
ปฐวีทำท่าจะถอดใจหันหลังเดินไปทางบันได ก็ได้ยินเสียงเปิดประตูดังขึ้นพอดี
“อ้าว หิวแล้วล่ะสิ”
“แหม…ก็พี่อุตส่าห์มาง้อขนาดนี้แล้วนี่ ใช่ไหมล่ะ”
น้ำหนึ่งทำท่าลอยหน้าลอยตาได้อย่างน่าหมั่นไส้ ปฐวีพยายามไม่ใส่ใจแล้วรีบเดินนำลงบันไดไปที่ห้องครัว แต่ดูเหมือนหญิงสาวจะอารมณ์ดีขึ้นแล้วจึงเริ่มมีกะจิตกะใจจะถามเรื่องนั้นเรื่องนี้มากขึ้น
“พูดถึงพี่นี่ก็เสน่ห์แรงไม่เบานะ มีสาวเอาข้าวมาส่งให้ถึงบ้านแต่เช้าเลย”
ถึงแม้ว่าตามมาตรฐานของน้ำหนึ่งแล้ว ปฐวีจะนับได้ว่าเป็นแค่ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง แต่ตามมาตรฐานของสาวอื่นเท่าที่น้ำหนึ่งเคยเห็นตอนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยนั้น เขาดูเสน่ห์แรงไม่เบาเลยทีเดียว
“จะบ้าเหรอ มลเค้าแต่งงานมีลูกหนึ่งแล้ว อีกอย่างก็เป็นญาติผมด้วย อืม…อันที่จริงผมว่าผมน่าจะเคยพูดถึงมลให้ได้ยินบ้าง แต่คุณหนึ่งคงจะจำไม่ได้”
มีแววพอใจแวบหนึ่งฉายบนใบหน้าของคนฟัง แต่ปฐวีมัวแต่ง่วนอยู่กับการจัดอาหารใส่จานอยู่ที่เคาน์เตอร์ในครัวก็เลยไม่ทันเห็น
น้ำหนึ่งยักไหล่ทีหนึ่งเมื่อเอ่ยว่า “ก็ใครจะไปรู้ได้ล่ะ เห็นยังสาวอยู่เลย ถึงจะ…อ้วนไปหน่อยก็เถอะ”
“ก็ใครเขาจะผอมสวยหุ่นนางแบบเหมือนคุณหนึ่งล่ะครับ”
“แน่นอนสิ หนึ่งดูแลรูปร่างตัวเองตลอดนี่ จะได้แบบนี้ไม่ใช่ง่ายๆ นะจะบอกให้”
น้ำหนึ่งพูดพลางจ้องปฐวีที่กำลังเอาอาหารจากกล่องลงจัดใส่จานอย่างสนใจ กลิ่นหอมยั่วน้ำลายทำให้เธอยิ่งรู้สึกหิวเป็นกำลัง
“แล้วนั่นเมื่อไหร่จะเสร็จ ชักช้าจริงๆ เลยพี่เนี่ย”
ปฐวีหันมายิ้มอย่างเป็นต่อ “ก็ก่อนหน้านี้ยังบอกว่าไม่หิวไม่ใช่เหรอ”
“ก็ตอนนี้หนึ่งหิวแล้วนี่”
“งั้นก็ไปนั่งรอที่โต๊ะเลย เดี๋ยวเสร็จแล้วผมจะรีบยกไปให้”
“หนึ่งหิวน้ำ มีน้ำให้กินไหม”
“อยู่ในตู้เย็น เปิดหยิบเอาได้เลย”
น้ำหนึ่งกวาดสายตามองหาอยู่อึดใจก็เดินตรงไปที่หน้าตู้เย็นในครัว แต่ยังไม่ทันได้หยิบน้ำออกมา สายตาของเธอกลับหยุดชะงักอยู่ที่รูปในกรอบไม้ขนาดเล็กซึ่งวางเอาไว้บนหลังตู้เย็นเข้าเสียก่อน
มันเป็นรูปที่น่าจะถ่ายไว้เมื่อเกือบยี่สิบปีก่อนเห็นจะได้ ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่เธอได้พบกับปฐวีซึ่งยังเป็นเพียงเด็กชายวัยเจ็ดขวบ เพราะถูกคุณย่าเรียกให้มาถ่ายรูปด้วยกัน เขาและเธอจึงมีโอกาสได้มายืนอยู่ร่วมเฟรมเดียวกันโดยมีคุณย่ายืนโอบไหล่เด็กทั้งสองอยู่ตรงกลาง
น้ำหนึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าปฐวีเคยเป็นเด็กผู้ชายหน้าตาน่ารักอย่างไร โตขึ้นมาเขาก็ยังไม่เปลี่ยน แต่เธอนี่สิ…ตัวผอมแกร็นไม่ได้สัดส่วน ทั้งนัยน์ตาโปนใหญ่ของเธอก็ไม่เข้ากับรูปหน้าเล็กๆ นั่นเอาเสียเลย
“ผมเห็นว่ามันตลกดีก็เลยเอามาตั้งไว้” แต่พอปฐวีนึกขึ้นได้ว่ามันจะไปยั่วโมโหคนฟังขึ้นมาอีก ก็รีบแก้ไขว่า “ที่สำคัญคือเป็นรูปที่คุณย่าอุตส่าห์เอาใส่กรอบให้มาด้วย จริงๆ ที่บ้านคุณย่าก็มีรูปจากชุดเดียวกันนี้อีกใบใส่กรอบตั้งไว้อยู่ที่โต๊ะทำงานของท่านด้วยนะ”
“เชอะ ไม่ต้องมาพยายามพรีเซนต์ให้ดูดีหรอก พี่วีตอนยังเด็กน่ารักกว่าหนึ่งตั้งเยอะ หนึ่งนี่สิดูไม่ได้เลย แต่…ถ้าเป็นตอนนี้ล่ะก็ คนละเรื่องนะจะบอกให้”
“มันก็แค่ตอนยังเด็กน่ะคุณหนึ่ง อย่าไปใส่ใจมากเลย”
ปฐวีเดินมายื่นแก้วให้น้ำหนึ่งที่มัวแต่วิจารณ์รูปสมัยเด็กจนไม่ได้เปิดตู้เย็นหยิบขวดน้ำออกไปเสียที
“จัดจานเสร็จรึยังล่ะ หิวแล้ว”
พูดจบน้ำหนึ่งก็เดินถือแก้วน้ำไปนั่งรอที่โต๊ะอาหาร ขณะปฐวีก็ตามมาเสิร์ฟอย่างรวดเร็วทันใจ
“ได้แล้วครับๆ”
หญิงสาวนิ่งมองอาหารในจานก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยกับการจัดจานได้สวยงามเกินคาด เมื่อลองกินไปคำแรกอย่างไม่คาดหวังก็พบว่ามันอร่อยอย่างไม่น่าเชื่อ
“เป็นไงครับ อาหารจากโฮสเทลของมล”
“ก็…” น้ำหนึ่งทำเป็นวางมาดอย่างกลัวเสียฟอร์ม ทั้งที่อยากจะตักคำต่อไปเข้าปากจะแย่ “ก็พอกินได้นะ”
“ค่อยโล่งอกไปที ที่จริง…ถ้าคุณหนึ่งเปลี่ยนใจไปพักที่โฮสเทลก็จะได้กินอาหารดีๆ อย่างนี้ทุกมื้อ จะได้ไม่ต้องมาทนนั่งกินข้าวไข่เจียวที่บ้านผมนะ”
“หนึ่งอยู่ไม่นานนักหรอกน่ะ พี่ไม่ต้องวุ่นวายหรอก”
คำว่า อยู่ไม่นาน ทำให้ปฐวีรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาทันที จึงไม่พยายามหว่านล้อมให้หญิงสาวย้ายไปพักที่อื่นอีก
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจคุณหนึ่งแล้วกัน”
หลังจากเก็บโต๊ะกินข้าวเรียบร้อย ปฐวีก็บอกว่าวันนี้เขาต้องขนหนังสือบางส่วนลงมา และต้องแพ็กหนังสือที่ลูกค้าสั่งทางออนไลน์ใส่กล่องให้ทันก่อนบริษัทขนส่งจะมารับ คงไม่ว่างมาคอยรับใช้เธออีก น้ำหนึ่งอยากจะทำอะไรระหว่างนั่งว่างๆ อยู่ก็แล้วแต่
ปฐวีมองน้ำหนึ่งที่เดินไปนั่งลงบนโซฟาแล้วทิ้งตัวลงนอนอย่างเบื่อๆ ครู่หนึ่งจึงค่อยหันหลังเดินขึ้นไปเก็บหนังสือชั้นบน บางส่วนเอาลงมาเก็บในห้องสำหรับเก็บของโดยเฉพาะที่ชั้นล่าง บางส่วนสำหรับแพ็กลงกล่องส่งให้ลูกค้า ระหว่างที่ยกกองแรกลงไปวางเรียบร้อยแล้วก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือของหญิงสาวดังขึ้นพอดี
น้ำหนึ่งรีบเด้งตัวกดรับอย่างเร็วรี่ราวกับเป็นสายสำคัญที่เธอเฝ้ารออยู่ ครั้นหันมาเห็นว่าเขากำลังมองอยู่พอดีจึงรีบลุกเดินออกไปคุยหน้าบ้านเสีย
อันที่จริงจะมีใครโทรมาหาน้ำหนึ่งบ้างก็ไม่แปลก แต่ปฐวีติดใจสีหน้าเลิ่กลั่กของหญิงสาวเมื่อเห็นว่าเขากำลังมองอยู่มากกว่า
สายจากใครกันนะ…
ตอนนี้น้ำหนึ่งเดินหายลับไปจากสายตาเขาแล้วอย่างสิ้นเชิง จึงไม่อาจแอบสังเกตท่าทีได้อีก ปฐวีเองก็ขี้คร้านจะไปยุ่งเลยตัดสินใจปล่อยผ่านไปและหันไปจัดหนังสือเรียงไว้ที่ห้องเก็บของแห่งใหม่แทน ทว่ายังหยิบไปได้ไม่ถึงครึ่งกองก็เห็นน้ำหนึ่งเดินกลับมายืนเท้าสะเอวมองแล้วบอกเขา
“หนึ่งอยากได้ของใช้จำเป็นน่ะ พี่วีไปซื้อให้หน่อย เดี๋ยวจดรายการให้”
“กระเป๋าคุณหนึ่งก็ใบตั้งเบ้อเร่อ ยังใส่ของใช้มาไม่ครบอีกเหรอ”
“ไม่ครบ ถ้าครบหนึ่งจะให้พี่ไปซื้ออีกทำไม”
ปฐวีมองอีกฝ่ายอย่างละเหี่ยใจ “งั้นให้ผมจัดหนังสือตรงนี้ให้เสร็จก่อนแล้วกัน”
“ไม่ได้ พี่ต้องไปตอนนี้…เดี๋ยวนี้…ณ บัดนาว เข้าใจไหม”
“นี่ คุณหนึ่ง” ปฐวีชักจะหงุดหงิดขึ้นมาจริงๆ “อย่าเอาแต่ใจให้มันมากนักได้ไหม”
น้ำหนึ่งทำท่าจะแว้ดใส่เมื่อไม่ได้ดั่งใจ แต่แล้วก็กลับสงบลงราวกับมีใครเอื้อมมือมากดปิดปุ่ม ‘เกรี้ยวกราด’ ในตัวเธอเอาไว้
“ก็ได้…เอาอย่างนี้เป็นไง ถ้าเกิดพี่วีไปซื้อของให้หนึ่งตอนนี้ วันนี้ทั้งวันหนึ่งจะไม่กวนพี่อีก”
ปฐวีได้ฟังแล้วก็ถึงกับร้อง ฮ้า…ขึ้นมาในใจพร้อมกับเสียงเพลง ‘รักไม่ยอมเปลี่ยนแปลง’ ของพี่ติ๊ก ชีโร่ คนอย่างน้ำหนึ่งก็หัดใจเย็นพอจะต่อรองกับคนอื่นเขาเป็นเหมือนกันแฮะ
“ว่าไง เรื่องง่ายๆ แค่นี้ทำไมต้องคิดนานด้วย”
“โอเค ก็ได้ ตกลงตามนี้ แต่บอกเอาไว้ก่อนนะ…” ปฐวียืดตัวขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วก้มลงจ้องหน้าหญิงสาว “ถ้าหลังจากนี้คุณหนึ่งคิดกลับคำ เรียกใช้ให้ผมทำนู่นทำนี่อีกล่ะก็ บอกเลยว่าหมดสิทธิ์ ต่อให้จะลงไปนอนกรี๊ดๆ กับพื้นก็เถอะ”
“รู้แล้วน่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็…ดีล”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 13 ก.ย. 65 เวลา 12.00 น.