บทที่ 3 เดือดเนื้อร้อนใจ
น้ำหนึ่งยืนกอดอกมองรถกระบะที่มีปฐวีเป็นคนขับแล่นออกไปจากหน้าบ้านอย่างพึงพอใจ ก่อนจะเอาโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกใหม่อีกครั้ง คุยอยู่แค่ไม่กี่คำก็วางแล้วเดินกลับเข้าบ้าน
แต่แล้วสายตาก็ไปสะดุดเข้ากับแปลงดอกไม้ขนาดย่อมข้างบ้านที่ปฐวีอุตส่าห์ทำรั้วเตี้ยๆ กั้นเอาไว้อย่างดี มันเป็นพุ่มกุหลาบสูงไม่เกินหนึ่งเมตร มีหยดน้ำค้างจากคืนที่ผ่านมาเกาะพราวอยู่บนดอกทรงถ้วย กลีบดอกสีขาวสะอาดเรียงซ้อนกันหนาแน่นหลายชั้นตามแบบกุหลาบโบราณของอังกฤษ
หญิงสาวยิ่งแปลกใจมากขึ้นเมื่อพบว่ามันคือ Glamis Castle กุหลาบอังกฤษที่ถูกตั้งชื่อตามปราสาทสวยงามเหมือนเทพนิยายในสก็อตแลนด์นั่นเอง
“กลามส์ คาสเทิล…”
น้ำหนึ่งพึมพำเบาๆ อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปแตะมันอย่างเบามือ ไม่นึกว่าปฐวีจะปลูกกุหลาบเป็นกับเขาด้วย แถมยังเลือกพันธุ์ที่คุณย่าแสนจะโปรดปรานอีกต่างหาก แต่พอนึกอะไรขึ้นได้ก็รีบถอนมือออกจากมันเสีย
ไม่แน่หรอก…บางทีพี่วีอาจจะเพิ่งเอามาลงทั้งที่ต้นมีดอกอยู่แล้วก็เป็นได้ เพราะคนปากเสียอย่างเขาคงปลูกของสวยๆ งามๆ อย่างนี้ไม่ขึ้น
“เชอะ ทำเป็นปลูกกุหลาบสวยๆ คงจะตั้งใจเอาไว้ปะเหลาะขอสมบัติคุณย่าแน่ๆ นี่คงคิดว่าเราไม่รู้ทันสินะ”
อย่างไรก็ตาม น้ำหนึ่งยังคงก้มลงมองกุหลาบสีขาวหน้าบ้านปฐวีอีกเป็นครู่ ใจก็ไพล่คิดถึงบ้านของคุณย่าขึ้นมา มันเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวหลังใหญ่โตโอ่อ่าที่สร้างอยู่บนม่อนดอยในจังหวัดเชียงใหม่และปลูกดอกกุหลาบ Glamis Castle เอาไว้แปลงใหญ่ สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนจากระเบียงหลังบ้านและห้องหนังสือของคุณย่า เวลาออกดอกทีก็ขาวสะพรั่งไปหมดจนรู้สึกเหมือนอยู่ยุโรปอย่างไรอย่างนั้น
มันเป็นสถานที่ที่คุณย่าใช้เวลาเขียนหนังสือขายดีออกมามากมาย และอาจใช้มาแล้วกว่าครึ่งค่อนชีวิตโดยแทบไม่ได้ออกไปไหนมากนัก
เมื่อรู้สึกว่าเสียเวลาอยู่หน้าแปลงดอกกุหลาบนานเกินไปแล้ว น้ำหนึ่งก็ปัดความคิดทั้งหลายนั้นออกไปจากหัวแล้วรีบเดินกลับเข้าไปในบ้านทันใด
เริ่มแรกน้ำหนึ่งวิ่งขึ้นไปบนห้องนอนของปฐวีเพื่อเก็บข้าวของบางส่วนของตัวเองแต่เนิ่นๆ เพราะอีกไม่นานเธอคงไม่จำเป็นต้องซ่อนตัวอยู่ในบ้านของเขาอีกต่อไป
ปฐวีก้มลงมองรายการข้าวของที่น้ำหนึ่งจดมาให้แล้วก็เกาหัวใหม่อีกเป็นรอบที่ร้อย แถมโทรกลับไปถามก็ไม่รับสายอีก
นี่มันแกล้งกันชัดๆ!
ชายหนุ่มชักจะไม่แน่ใจแล้วว่าบรรดาข้าวของที่น้ำหนึ่งอยากจะได้พวกนี้มันจำเป็นต้องใช้ให้เขาออกมาซื้อเสียตอนนี้เดี๋ยวนี้จริงหรือ หลังจากที่เดินวนเวียนอยู่ในแผนกสินค้าสตรีมาร่วมครึ่งชั่วโมงจนพนักงานขายเครื่องสำอางจำหน้าได้แม่น ปฐวีถึงได้ของมาเกือบครบหมด
“เอาวะ หาให้ได้แค่นี้แหละ”
ปฐวีหิ้วถุงผ้าที่เต็มไปด้วยเครื่องสำอางและของใช้ผู้หญิงกลับไปที่รถอย่างหงุดหงิด แต่พอขับไปจอดอยู่ตรงสี่แยกไฟแดงก็นึกอยากแก้เผ็ดหญิงสาวขึ้นมา เลยเปลี่ยนใจขับรถไปแวะที่โฮสเทลของลุงนาเมืองแทน เพื่อที่ว่าจะได้หลบไปเสริมพลังสักพักแล้วค่อยกลับไปสู้รบตบมือกับน้ำหนึ่งต่อ
รถกระบะสีขาวแล่นเข้าไปจอดหน้าบ้านสองชั้นหลังใหญ่ของนาเมืองซึ่งมีโฮสเทลและร้านอาหารอยู่ในบริเวณเดียวกัน ทันทีที่เขาดับเครื่องก็เห็นชายวัยกลางคนซึ่งกำลังนั่งเล่นอยู่หน้าบ้านชะเง้อมองมาอย่างประหลาดใจนิดๆ
“อ้าววี ทำไมวันนี้มาได้ล่ะ หรือสลับวันดูแลร้านกับมล”
ปฐวีเดินไปเกาหน้าผากไป ซึ่งเขามักจะเผลอทำอย่างนี้เสมอเวลามีเรื่องให้คิดไม่ตกหรือมีอะไรอยู่ในใจ
“พอดีออกมาซื้อของน่ะครับ เลยแวะมาหา”
นาเมืองย่นหัวคิ้วกับเหตุผลของหลานชาย เพราะตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่ ปฐวีมักจะวุ่นอยู่กับงานแปลหนังสือและกิจการขายหนังสือมือสองทางออนไลน์จนแทบไม่แบ่งเวลาออกไปไหน แต่วันนี้กลับโผล่หน้ามาเอาง่ายๆ เสียอย่างนั้น
“ร้านคนเยอะไหมครับลุง ไหนๆ ก็มาแล้ว ผมว่าจะไปช่วยมลซะหน่อย”
ปฐวีพูดพลางเดินไปที่ประตูเล็กติดกับรั้ว เพื่อจะผลักเปิดออกไปสู่บริเวณที่เป็นโฮสเทลและร้านอาหาร
“ดูท่าวันนี้วีว่างนานเลยสิ”
“ก็น่าจะได้สัก…สองสามชั่วโมงแหละครับ”
นาเมืองมองตามปฐวีไปอย่างครุ่นคิด รู้สึกว่ามีอะไรตงิดๆ อยู่ในใจอย่างบอกไม่ถูก